หน่วยงานยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาติ (NSS) ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาชี้ว่า จีนจtกลายมาเป็นคู่แข่งที่มีความสามารถมากที่สุดในระยะยาว ในขณะที่รัสเซียเป็นภัยคุกคามและก่อกวนต่อหน้ามากกว่า จากท่าทีในการนำอาวุธนิวเคลียร์มาขู่ต่อกรณียูเครนของรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ฟ้องว่า กองกำลังของรัสเซียกำลังประสบกับความพ่ายแพ้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในสมรภูมิยูเครน
“การทหารแบบดั้งเดิมของรัสเซียจะอ่อนแอลง ซึ่งจะทำให้มอสโกเพิ่มการพึ่งพาอาวุธนิวเคลียร์ในทางแผนการทางทหาร” แผนรายงานยุทธศาสตร์ระบุ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีกำหนดการในการเผยแพร่ในช่วงก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะถูกเลื่อนออกมา สืบเนื่องจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกมาระบุว่า ตนพร้อมใช้ “ทุกวิถีทาง” ในการปกป้องอาณาเขตของรัสเซีย ซึ่งหมายรวมถึงไครเมียที่ตนยึดและผนวกมาจากยูเครนแบบผิดกฎหมายเมื่อปี 2557 และรวมถึง 4 แคว้นที่เพิ่งถูกผนวกไปล่าสุด ทั้งนี้ NSS ระบุว่า การให้การสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อยูเครน จะไม่ได้รับผลกระทบต่อคำขู่ดังกล่าว “สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้รัสเซียหรืออำนาจใดๆ ในการบรรลุวัตถุประสงค์ผ่านการใช้ หรือการขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์” เอกสารระบุ
ในคำนำของเอกสาร ไบเดนได้แยกความแตกต่างประเภทของภัยคุกคามจากรัสเซียและจีนว่า “รัสเซียเป็นภัยคุกคามต่อระบบระหว่างประเทศ ที่เสรีและเปิดกว้างในทันที ผ่านการละเลยอย่างเหยียดหยามต่อกฎหมายพื้นฐานของระเบียบระหว่างประเทศในปัจจุบันอย่างไม่ระมัดระวัง จากการที่สงครามการรุกรานยูเครนที่โหดร้ายได้แสดงให้เห็น” ไบเดนระบุ
ในอีกทางหนึ่ง ไบเดนเรียกว่าจีนเป็น “ประเทศเดียวที่มีทั้งความตั้งใจที่จะก่อร่างสร้างระเบียบระหว่างประเทศและสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ การทูต การทหาร และเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายนั้น” เอกสารนโยบายยังระบุอีกว่า จีนเป็น “ความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีผลสืบเนื่องที่สุดของอเมริกา” พร้อมระบุอีกว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีนมีเจตนารมณ์และความสามารถในการเปลี่ยนแปลงระเบียบระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้โลกเล่นบนสนามที่ส่งผลประโยชน์ต่อตน แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังคงมุ่งมั่นที่จะจัดการการแข่งขันระหว่างประเทศของเราอย่างมีความรับผิดชอบ”
จากรายงานของ Federation of American Scientists มีการประมาณการว่า จีนมีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งสิ้น 350 หัวรบ เทียบกับรัสเซียที่มีหัวรบนิวเคลียร์ 5,977 หัวรบอยู่ในคลังแสง ซึ่งมีมากกว่าสหรัฐฯ ที่มีหัวรบนิวเคลียร์ของตนอยู่ที่ 5,428 หัวรบ อย่างไรก็ดี กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เชื่อว่า จีนจะมีประสิทธิภาพทางกองกำลังที่จะขยายหัวรบนิวเคลียร์ของตนไปได้มากถึง 1,000 หัวรบ ก่อนปี 2573 ซึ่งจะส่งผลให้จีนกลายมาเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อันดับที่ 3 ในช่วงทศวรรษนี้
ที่มา: