วันที่ 6 พ.ย. ที่อาคารรัฐสภา วุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ที่ถูกพรรคก้าวไกลลงมติขับออกจสกพรรค หลังพบพฤติกรรมคุกคามทางเพศ แถลงต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง เปิดเผยความไม่ชอบมาพากลในการขับตัวเองออกจากพรรคก้าวไกล โดยได้นำภาพหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า มีความพยายามทำให้ตนอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ หลังจากไปเจอและสืบทราบว่า 'ผู้ช่วย ส.' ท่านหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วย สส. ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล
วุฒิพงศ์ เผยว่า 'ผู้ช่วย ส.' มีความเกี่ยวพันกับการเอื้อรับผลประโยชน์จากโรงงานกำจัดขยะในพื้นที่ปราจีนบุรี หลายล้านบาท พร้อมโชว์แชทไลน์หลักฐานและคลิปเสียงการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ก่อนที่จะนำหลักฐานส่วนนี้ยื่นให้กับพรรคก้าวไกลเพื่อตรวจสอบการทุจริต แต่กลับถูกเพิกเฉย เนื่องจากมีกรรมการบริหารพรรคท่านหนึ่ง เข้ามาชงเรื่องเอง ทำเองตรวจสอบ และขอมติ และสรุปเองว่า ไม่มีความผิด
"ในเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง ตัวผมไม่รู้ และไม่ทราบ แต่ต้องการแค่การทำงานในจังหวัดให้เรียบร้อย ไม่ทราบว่าเขามีความสนิทกับใคร หรือกรรมการบริหารท่านใด ที่ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออก ผมไม่รู้ว่าผมเหยียบเท้ากรรมการบริหารแรงขนาดไหน แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องเคลียร์เพราะเป็นเรื่องทุจริต การทุจริตไม่ว่าในหน่วยงานไหน ต่อให้เป็นผู้ช่วย สส. ก็ควรมีการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน แต่ทิ้งช่วงผ่านมาถึง 4 เดือน อย่ารอให้เป็นกระแสค่อยมาทำ แล้วค่อยมาบอกว่ากำลังตั้งกรรมการวินัย" วุฒิพงศ์กล่าว
วุฒิพงศ์ จึงมั่นใจว่า การถูกขับออกของตน เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน พร้อมเปิดภาพให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้เสียหายที่ร้องสอบพฤติกรรมของตนกับ 'ผู้ช่วย ส.' ว่าความสนิทสนมกัน และ 'ผู้ช่วย ส.' คนนี้ก็เป็นคนพาผู้เสียหายคนดังกล่าวเข้ามาร้องเรียนตนถึงพรรค รวมถึงเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อที่อยู่ตรงข้ามพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าตนเองเป็นชาวบ้าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศของตน
วุฒิพงศ์ ยังระบุว่า เริ่มมีการปฏิเสธว่า 'ผู้ช่วย ส.' ไม่ใช่ผู้ช่วย และการที่ได้แถลงวันนี้ เป็นเรื่องที่ตนเองได้พบเจอแต่ไม่สามารถพูดได้ก่อนหน้านี้ และจะเห็นว่าหลังจากกระบวนการเกิดขึ้น ข้อมูลเพจของพรรคก้าวไกล เมื่อวันเสาร์ที่ 16 ต.ค. ที่จ.ปราจีนบุรี จัดกิจกรรมสุราก้าวหน้า ในโปสเตอร์ไม่มีภาพตนเองอยู่ มีบรรยากาศคุกรุ่นมาก่อน และวันที่ 17 ต.ค. 'ผู้ช่วย ส.' พาผู้เสียหายร้องเรื่องคุกคามทางเพศ เข้าไปในตึกพรรคก้าวไกล และใช้เพียงเวลาสัปดาห์เศษ ตั้งคณะกรรมการวินัย ที่มีเฉพาะคนในไม่มีคนนอก จนวันที่พรรคมีมติขับออกจากพรรค
ทั้งนี้ กระบวนการขับออกงใช้เวลาเพียง 22 วัน จึงไม่แน่ใจว่า ไปเหยียบเท้ากรรมการบริหารพรรคคนไหนหรือไม่ เพราะกรรมการบริหารพรรคท่านนี้ ก็พยายามเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบเรื่องคุกคามทางเพศของตนเอง
วุฒิพงศ์ กล่าวด้วยว่า การออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง ไม่ได้ต้องการขอความเป็นธรรมหรืออุทธรณ์มติพรรคใดๆ เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล และสิ่งที่ตนถูกกระทำ เพราะวันนี้ หากผู้แทนราษฎรไม่สามารถปกป้องตนเองได้ ประชาชนก็ไม่ต้องพูดถึง นอกจากนี้ยัง อยากจะชี้แจงให้เพื่อน สส. ที่ลงมติขับตนออกเข้าใจข้อเท็จจริง เพราะบางคนไม่เคยคุยกับตนเองด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณา ว่า จะยื่นขอความเป็นธรรมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือไม่
นอกจากนี้ วุฒิพงศ์ เผยว่า มีผู้บริหารพรรคบางคนทักไลน์ขอให้หยุดพูดในเรื่องนี้ แต่ตนเองก็ขอให้ทางพรรคก้าวไกลให้เกียรติการเดินหน้าในการทำหน้าที่ของตนเอง ซึ่งพรรคก็เป็นองคาพยพขนาดใหญ่ ต้องเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่ถูกต้อง เรื่องกระแสเรื่องสื่อก็อีกประเด็นหนึ่ง เรื่องการคุกคามทางเพศก็เป็นอีกประเด็นนึง ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากพรรคเป็นลายลักษณ์อักษรถึงสาเหตุที่ถูกขับออก หรือการติดต่อจากพรรคแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อถามว่าอยากจะฝากอะไรถึงกรรมการบริหารพรรคท่านนั้นหรือไม่ วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ไม่มี แต่อยากพูดถึงพรรคก้าวไกลแบบกว้างๆ ว่า
"ผมไม่ได้มีองคาพยพอะไร เชื่อว่าพรรคก็ต้องแถลง อยากจะพูดในมุมที่ให้ยอมรับบ้าง อย่าปฏิเสธ อะไรที่ว่าไม่เคยคุยกันเลย อะไรที่เก็บไว้ซุกไว้ ก็เอาออกมาคุยกันเยอะๆ ปัญหาจะได้ไม่เกิด"
เมื่อถามว่า มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเกิดการทุจริตขึ้นจริงหรือไม่ วุฒิพงศ์ กล่าวว่า มีพยานหลักฐานทุกอย่าง ขาดเพียงสลิปโอนเงิน แต่ไม่ขอลงในรายละเอียด และตอนนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีกับ 'ผู้ช่วย ส.' เพราะอยากให้เห็นกระบวนการของพรรคก้าวไกลมากกว่า
ส่วนที่ 'ผู้ช่วย ส.' ได้มีการฟ้องหมิ่นประมาทตนเองกลับนั้น วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะเขาไปแจ้งความไว้ตามสถานีตำรวจ และข้อมูลไม่เป็นไปตามความเป็นจริง
ขณะที่ความคืบหน้าในการย้ายเข้าสังกัดพรรคใหม่ตามกรอบเวลา 30 วัน นั้น วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิด ขอลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านก่อน ว่า ชาวบ้านอยากจะให้เข้าสังกัดพรรคไหน ส่วนที่ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ชักชวนเข้าสังกัดพรรคนั้น วุฒิพงศ์ กล่าวว่า นายมงคลกิตติ์ ถือเป็นรุ่นพี่พระจอมเกล้าพระนครเหนือ แต่ส่วนตัวอยากจะทำงานกับพรรคที่สามารถทำงานได้เต็มที่มากกว่านี้
ส่วนที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ออกมาขู่ว่าถ้าพรรคไหนรับเข้าสังกัดพรรค จะร้องยุบพรรคดังกล่าวทันที วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ศรีสุวรรณ อาจจะยังไม่ได้เห็นข้อมูลจากฝั่งตน แต่ยืนยันว่าพร้อมชี้แจง