3 สายการบินใหญ่จากตะวันออกกลางอย่าง เอมิเรตส์ เอทิฮัด และกาตาร์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Middle Eastern Three (ME3) ได้ประกาศเปิดให้บริการเส้นทางการบินมายังจังหวัดภูเก็ตอีกครั้ง ภายหลังจากที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประกาศเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าสายการบินเอมิเรตส์ และกาตาร์แอร์เวย์สจะให้บริการเส้นทางการบินมายังจังหวัดภูเก็ตสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบินขณะที่สายการบินเอสที่เปิดให้บริการเส้นทางการบินมายังภูเก็ตสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน
สายการบินเอมิเรตส์จะให้บริการเส้นทางบินตรง ดูไบ-ภูเก็ต สัปดาห์ละ 4 ครั้ง เริ่มต้นวันที่ 2 ก.ค. ผู้โดยสารจะได้ใช้บริการเครื่องบินโบอิง 777-300ER ใน 3 ประเภทของที่นั่ง ทั้งชั้นประหยัด ชั้นธุรกิจ และชั้นหนึ่ง
สายการบินเอทีฮัดจะให้บริการสัปดาห์ละสามครั้งจากเส้นทาง อาบูดาบี-ภูเก็ต เริ่มต้นวันที่ 1 ก.ค. ด้วยเครื่องบินโบว์อิง 787-9 ดรีมไลน์เนอร์ ราคาเริ่มต้นของชั้นประหยัดเริ่มต้นเพียง 270 ดอลลาร์หรือราว 8,400 บาทเท่านั้น ขณะที่สายการบินกาตาร์จะให้บริการด้วยเครื่องบินโบอิง 787 ดรีมไลน์เนอร์ ในวันที่ 1 ก.ค. ให้บริการชั้นธุรกิจ 22 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 232 ที่นั่ง
ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ) ครั้งที่ 2/2564 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ในวันที่ 4 มิ.ย. เห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจากประเทศที่มี ความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) ตามข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะมีกำหนดดำเนินการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 โดยมีกำหนดแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ ต้องกักตัว ดังนี้
1.เปิดรับเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสตามเกณฑ์ของวัคซีนแต่ละชนิด มีระยะเวลาการฉีด มากกว่า 14 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี และเป็นผู้เดินทางจากกลุ่มประเทศต้นทางที่มีความเสี่ยงต่ำ – ปานกลาง ตามหลักเกณฑ์ ของกระทรวงสาธารณสุข
2.กำหนดให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองที่ฉีดวัคซีนแล้วเดินทางเข้าได้ ในขณะที่เด็กอายุระหว่าง 6 – 18 ปี จะต้องได้รับการตรวจเชื้อเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินภูเก็ต
3.มีเอกสารรับรองการ ฉีดจากประเทศต้นทาง โดยวัคซีนจะต้องขึ้นทะเบียนตามกฎหมายของประเทศไทย หรือได้รับการรับรองโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)
4.มีการติดตั้งแอปพลิเคชันแจ้งเตือน5.พำนักในโรงแรมที่พักที่ผ่านมาตรฐาน SHA+ ในเวลา 14 คืน และภายหลังการ พำนักตามระยะเวลาที่กำหนดสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นในประเทศไทยได้
6.รายงานตัวและรับการตรวจเชื้อโค วิด-19 ตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข และสามารถทากิจกรรมท่องเที่ยวได้ภายใต้มาตรการป้องกันตาม มาตรฐาน DMHTTA