นายแพทย์ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงกรณีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีข้อพิพาทที่ทำให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. ต้องเสียค่าปรับให้กับบริษัท BEM คดีแรก 4.3 พันล้านบาท หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา กรณีสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต ซึ่งเป็นทางแข่งขันทำให้ปริมาณจราจรและรายได้ในโครงการ บางปะอิน-ปากเกร็ด ลดลงจากประมาณการและยังมีข้อพิพาทกับกลุ่ม BEM อีก 20 กว่าคดี ที่บริษัทแจ้งว่าอาจจะเป็นค่าโง่ทุกคดีรวมค่าเสียหายเป็นเงิน 1.3 แสนล้านบาท
ส่วนการที่บอร์ด กทม.อ้างว่ามีการเจรจาลดวงเงินมาอยู่ที่ 5.8 หมื่นล้านบาทและมีมติขยายอายุสัมปทานให้บริษัท BEM ใน 3 โครงการออกไปอีก 30 ปี นับจากวันสิ้นสุดสัญญา คือทางด่วนศรีรัช, ทางด่วนศรีรัตน์ส่วนดี และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด เพื่อแลกเปลี่ยนกับการจ่ายค่าโง่ ทั้งในคดีสร้างทางแข่งขันและคดีปรับขึ้นค่าผ่านทางไม่เป็นธรรม รวมทั้งให้บริษัท BEM ยุติข้อพิพาททั้ง 20 กว่าคดีเพื่อแลกกับการต่ออายุสัมปทานนั้น พรรคมองว่า หากภาครัฐนำโครงการทางด่วนทั้ง 2 โครงการมาบริหารเองหรือเปิดให้มีการประมูลใหม่ ผลกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งมีผู้คำนวณว่า 30 ปี กทพ.จะมีรายได้ราว 3 แสนล้านบาทที่จะตกอยู่ที่ภาครัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วย มากกว่าการต่ออายุสัมปทานออกไปอีก 30 ปีเพื่อแลกกับคดี
นายแพทย์ระวี ตั้งคำถามว่า เป็นการให้สัมปทานเพื่อกลบลบค่าโง่การบริหารงานที่ผิดพลาดของ กทพ.และรัฐบาลในอดีตใช่หรือไม่ ทั้งที่เรื่องการบริหารงานที่ทำให้เกิดค่าโง่ 4,300 ล้านบาทนั้น ไม่ควรจะเอามาเป็นข้ออ้างแลกเปลี่ยนกับอายุสัมปทานหรือรายได้ในอนาคตที่จะเข้าสู่ภาครัฐ เพื่อมาปกปิดหรือปล่อยผ่านการบริหารงานที่ผิดพลาดของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
นายแพทย์ระวี กล่าวต่อว่า พรรคพลังธรรมใหม่ จะขอยื่นญัตติด่วนในเรื่องนี้ต่อรัฐสภา เพื่อขอตั้งกรรมาธิการวิสามัญ "ค่าโง่ทางด่วน" เพื่อศึกษาหาทางออกที่ดีที่สุด และจะนำเสนอรัฐบาลต่อไป โดยทางพรรคจะไปยื่นหนังสือถึงสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทพ. ผู้ว่าการและบอร์ด กทพ.เพื่อขอข้อมูลค่าโง่ทางด่วนด้วย