วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ที่อาคารรัฐสภา พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาเนื่องในโอกาสปีใหม่ โดยได้มองสภาพการเมืองในปี 2566 ว่า วุฒิสภาชุดปัจจุบันกำลังจะครบวาระ 5 ปี ยังเหลือเวลาอีกปีเศษ ตนได้เรียนวุฒิสภาชิกแล้วว่าคงมีการเปลี่ยนสภาผู้แทนราษฎร 500 คนมาเป็นชุดใหม่ เพื่อทำงานร่วมกัน 

โดยขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียงบ้าง ประธานรัฐสภาจะมาจากพรรคใดก็ยังไม่ทราบแน่นอน จึงคิดลำบาก แต่ยืนยันว่าวุฒิสภาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ จากประสบการณ์ 3-4 ปีผ่านมา คิดว่าสามารถประสานงานกับสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ได้ข้อกฎหมายที่ดี และข้อสรุปที่ดีสำหรับญัตติต่างๆ ที่มีการเสนอมา 

สำหรับการเมืองหลังปีใหม่ 2566 พรเพชร เชื่อว่า จะเป็นการเมืองที่เป็นไปตามระบบ อยู่กันครบวาระ อาจจะยุบสภาก่อนนิดหน่อยก็ได้ แต่เป็นการเมืองที่เดินทางมาตามหลักนิติรัฐและระบบรัฐสภาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ใช่เลือกตั้งมาปีเดียวก็ยุบสภาแล้ว อย่างนี้ไม่ดี ประเทศไทยจะเจริญได้ก็ต่อเมื่อระบบเหล่านี้เดินไปได้ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายก็ไปตามระบบ

"จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา กระบวนการตรากฎหมายผ่านไปได้ดีพอสมควร ถ้าเทียบกับก่อนๆ นี้ ต้องเรียกว่าดีมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงความพอใจก็ถือว่าดีพอสมควร ได้ขนาดนี้ก็เยี่ยมแล้ว ผมเคยติดตามพิจารณาร่างกฎหมายมาตลอด เดี๋ยวก็ยุบสภา เดี๋ยวก็ปฏิวัติแล้ว สมัยก่อนมักมีความขัดข้อง เดี๋ยวนี้ถือว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว" พรเพชร กล่าว

***เมินคนตีตราสภา ‘2 ป.’

พรเพชร ยังย้ำถึงความเป็นกลางของวุฒิสภาว่า แม้จะมีคนประทับตราให้ว่าวุฒิสภาแยกเป็นฝ่ายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และฝ่ายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แต่ตนไม่ทราบ เขามีสิทธิจะคิดอย่างนั้น เพราะ ส.ว.หลายท่านก็มีความเคารพนับถือทาง พล.อ.ประวิตร ตลอดมา อีกด้านก็ทำงานให้นายกฯ ตลอดมา ก็มีสิทธิคิดว่าเขาก็คงช่วยกัน มีใจต่อกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา

"สามารถคิดได้ว่ามีคนที่สนับสนุนท่านเหล่านั้น ก็คิดได้ แต่ ส.ว.ก็ต้องวางตัวเป็นกลางอยู่แล้ว อย่างผมก็ต้องวางตัวเป็นกลาง กลางเต็มที่ แต่จะคิดอย่างไรก็คิดได้"

ส่วนข้อครหาว่าวุฒิสภาแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อการยกมือเลือกแคนดิเดตนายกฯ พรเพชร ปฏิเสธว่า ยังไม่ถึงข้อครหา เป็นธรรมดาของวุฒิสภา คงจะบอกว่าทุกคนเหมือนกันหมดไม่ได้ ทุกคนต่างมีความคิดความเห็น ตนเชื่อว่าสมาชิกย่อมเห็นต่างกันแน่นอน แต่สะท้อนผ่านการลงคะแนนหรือช่วงก่อนการลงมคะแนน น้อยคนจะมาแสดงความชัดเจนในตอนนี้ เพราะคงไม่อยากขัดแย้งกัน โดยหลักการประธานวุฒิสภาก็ไม่สามารถข้องเกี่ยวหรือแทรกแซงได้