เมื่อเวลา 04.00 น. ร.ต.อ.สุรพงษ์ ประทุมวัน รองสารวัตร(สอบสวน) สน.บางซื่อ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) รุดเข้าตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้ป้อมจราจร สี่แยกสะพานควาย ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท และเหตุเพลิงไหม้ป้อมจราจร สี่แยกประดิพัทธ์ ถนนพระรามที่ 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 02.19 น.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ป้อมจราจร สี่แยกสะพานควาย และสี่แยกประดิพัทธ์ ได้รับความเสียหาย จนไม่สามารถควบคุมสัณญาณไฟจราจรได้
นอกจากนี้เวลา 02.41 น.ยังมีป้อมจราจร สี่แยกอุรุพงษ์ ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท และสี่แยกมิตรสัมพันธ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.ที่ถูกเพลิงไหม้เสียหายเช่นกัน รวมทั้งป้อมจราจรในพื้นที่ กทม.อีกหลายแห่งที่ถูกทุบทำลายกระจกแตกจนได้รับความเสียหาย
ขณะนี้เจ้าหน้าอยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิด และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีเมื่อกลางดึกที่ผ่านมามีการก่อเหตุเผาป้อมจราจรหลายจุดในกรุงเทพมหานคร ว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็ต้องปรับยุทธวิธีกันไป ต้องประเมินสถานการณ์ให้แม่นยำกว่านี้ เพราะจะเห็นว่ามีการกระจายตัวยกระดับความรุนแรง ตำรวจต้องปรับยุทธวิธีการใช้กำลัง การบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องการข่าว ตำรวจไม่ได้วิ่งตามม็อบ แต่เป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นเส้นเบลอๆ ระหว่างม็อบกับผู้ที่ก่อเหตุ เพราะเขาต้องการให้เป็นแบบนั้น
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า การกระทำแบบนี้ไม่ใช่อาชญากรทั่วไป จะเห็นว่าตั้งแต่สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้ก่อเหตุกว่า 400 ราย ทุกครั้งที่จับเขาจะมีความรู้เทคนิคข้อกฎหมายต่างๆ มากขึ้น เห็นจากมีฝ่ายกฎหมายที่พร้อมปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง พอมีคนโดนจับจะมาทันที ตอนนี้ตนได้พูดคุยกับฝ่ายสอบสวนว่า การบังคับใช้กฎหมายให้ดูเรื่องฐานความผิดอื่นๆ ถ้ามีองค์ประกอบความผิดอื่น เช่น อั้งยี่ ซ่องโจร ให้ไปรวบรวมพยานหลักฐานมา
เมื่อถามว่ากลุ่มที่ก่อเหตุเผาป้อมจราจรมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเดิมๆ หรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เขาลงมือกระทำเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย กระทบต่อภาพลักษณ์ในเรื่องรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกพี่น้องประชาชน และหวังผลทางการเมือง ส่วนจะมีพัฒนาการที่รุนแรงกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการจัดการของตำรวจ ซึ่งต้องจัดการให้ได้
พล.ต.ท.ภัครพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่ารูปแบบการก่อเหตุของกลุ่มที่ก่อความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เน้นการเผาทำลายทรัพย์สิน ทางราชการ และของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง หลังจากนั้นทำการหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยใช้พื้นที่แฟลตดินแดงทำการหลบซ่อนตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการปรับยุทธวิธี ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อระงับเหตุ ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และยังคงเน้น ปกป้องสถานที่ราชการ ไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ
พร้อมตั้งคำถามถึงการก่อเหตุของกลุ่มดังกล่าว ว่ามีจุดประสงค์ใด เนื่องจากทรัพย์ทางราชการที่เผาทำลาย ก็มาจากเงินภาษีของประชาชนทั้งสิ้น ส่วนการก่อเหตุความรุนแรงในลักษณะนี้จะขยายวงกว้างออกไปหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าเป็นปกติของผู้ที่ก่อเหตุที่พยายามหาโอกาส ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะมีการยกระดับมาตรการทางกฎหมายให้เข้มข้นขึ้นต่อไป
โดยการกระทำดังกล่าวนั้น เจ้าหน้าอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ หาตัวผู้กระทำผิด ซึ่งในช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีการหารือร่วมกับ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งภายหลังจากที่ลงพื้นที่แฟลตดินแดง เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในแฟลต ส่วนหนึ่งประชาชนให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
อีกทั้งยังกล่าว ผลจากการเผาทำลายกล้องวงจรปิด สัญญาณไฟจราจร จนได้รับเสียหาย ยืนยันไม่กระทบกับการจราจร เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีก็สามารถดำเนินการได้