ที่ทำเนียบ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย อเล็กซานเดอร์ ชาลเลนแบร์ก วัย 52 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย สาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ภายหลังอดีตผู้นำหนุ่มวัย 35 ปี เซบาสเตียน คูร์ซ ประกาศลาออก ท่ามกลางปัญหาพัวพันคอร์รัปชัน

ทั้งนี้ พรรคกรีนส์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของ คูร์ซ ได้เรียกร้องให้อดีตผู้นำลาออก หลังจากเขาและบุคคลอื่น ๆ อีก 9 ราย ซึ่งรวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน อยู่ระหว่างการถูกสอบสวนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในข้อหาต้องสงสัยละเมิดความไว้วางใจ คอร์รัปชัน และรับสินบน จากการกล่าวหาโดยพนักงานอัยการว่า ในช่วงปี 2559 - 2561 ภายใต้รัฐบาลของ คูร์ซ มีการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้โดยมิชอบ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการนำเสนอข่าวและผลโพลคะแนนความนิยมในเชิงบวกต่อรัฐบาล

• (7 ต.ค.) เซบาสเตียน คูร์ซ ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงประเด็นคดีคอร์รัปชัน หน้าพระราชวังฮอฟบวร์ก

อย่างไรก็ดี คูร์ซ ได้ให้การปฏิเสธการกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาชนออสเตรีย (Austrian People's Party - OVP) ของเขาเหมือนที่เป็นมาตั้งแต่ปี 2559 เช่นเดิม แม้ว่าจะลาออกจากการเป็นผู้นำรัฐบาลแล้ว โดยนับจากนี้ เขาจะกลายเป็นสมาชิกรัฐสภาที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อไป

การเปลี่ยนตัวผู้นำออสเตรียในครั้งนี้ส่งผลให้ นักการทูตอาชีพอย่าง ชาลเลนแบร์ก ผู้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับ คูร์ซ ถูกฝ่ายค้านกล่าวโจมตีว่า เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดให้กับ "นายกรัฐมนตรีเงา" เช่น คูร์ซ

ภายหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ชาลเลนแบร์ก เผยต่อสื่อว่า ตนจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ คูร์ซ ต่อไป และเชื่อว่าข้อกล่าวหาที่มีต่อ คูร์ซ นั้นล้วนเป็นเท็จ พร้อมให้คำมั่นว่า ตนจะบริหารประเทศ "ด้วยความรับผิดชอบ" และ "สร้างเสถียรภาพ" ให้แก่บ้านเมือง โดยไม่ได้มีการกล่าวตอบโต้ฝ่ายค้านแต่อย่างใด

ที่มา: Deutsche-Welle , VOA News , Euro News , CNN