ไม่พบผลการค้นหา
รมว.คลัง มั่นใจเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังบริษัท S&P Global Ratings ยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ ย้ำสถานการณ์ทางการเมืองไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ขณะตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ของไทยดีกว่าที่คาดการณ์และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2563 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “บริษัท S&P Global Ratings (S&P) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งภาคการคลัง และภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้หนี้รัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวลและสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอีกทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า


จีดีพีไตรมาส 3 ดีกว่าที่คาดการณ์

กระทรวงการคลัง มั่นใจว่าการยืนยันคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยและการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยของ S&P ครั้งนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจไทยที่กำลังปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเพื่อการฟื้นฟูและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อไป หลังจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 เศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนสะท้อนจาก GDP ไตรมาส 3 ปี 2563 หดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ -6.4 ต่อปีและหากเทียบกับไตรมาสที่ 2 โดยปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2563 ขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ+6.5 (QoQ_SA) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว


ศก.ไทยปี 2563 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

สำหรับทั้งปี 2563 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวที่ร้อยละ -6.0 ต่อปีเป็นการปรับประมาณการดีขึ้นจากเดือนส.ค. 2563 ที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ -7.5 ต่อปีขณะที่เสถียรภาพทางการคลังของไทยยังอยู่ในระดับเข้มแข็งสะท้อนจากสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2563 อยู่ที่ร้อยละ 49.4 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ทำให้กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการออกมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต

สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะถัดไปกระทรวงการคลังจะมุ่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้รักษาระดับการจ้างงานภายในประเทศ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป