จักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ระหว่างวันที่ 29 ก.พ.-2 มี.ค.2567 ร่วมในคณะของภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 13 (World Trade Organization Ministerial Conference 13: MC13) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
จักรพงษ์ ระบุว่า ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ได้ร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 78 เมื่อปีที่แล้ว ได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับทราบแล้วว่าประเทศไทยได้เปิดแล้วเพื่อให้มีการค้าการลงทุน
ยูเออีถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคนี้ มีมูลค่าการขายที่ 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่ามีความสำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้ และการเดินทางมาในครั้งนี้เป้าหมายหลักก็คือ FTA ที่เราอยากจะมีกับทางยูเออี ตรงนี้จะเป็นการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น และการที่จะมีการค้าการขายเพิ่มขึ้นจาก 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะดูจากย้อนหลังทุกๆ ปีการค้าไทยกับยูเออีมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี
ส่วนความสำคัญในด้านอื่นไทยและยูเออี จะมีความสัมพันธ์ครบ 50 ปีในปี 2568 ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ทั้งการค้า การลงทุน วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยน การเยือนระดับสูง
นอกจากนี้ ปี 2566 มีนักท่องเที่ยวจากยูเออี มาท่องเที่ยวในประเทศไทยเกือบ 200,000 คน ถือว่าเป็นจำนวนมาก หากเทียบกับจำนวนประชากรของเขา และมี direct flight ต่อวันประมาณ 5 ไฟล์ท ถือว่าเป็นฮับหนึ่งของภูมิภาคนี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไปในเรื่องของ “AVIATION HUB” ซึ่งหากไทยเป็นฮับได้ในภูมิภาคได้ จะสามารถเชื่อมโยงกับยูเออีได้มากขึ้น ดังนั้นจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับภาคเอกชนของไทยที่จะทำธุรกิจในโซนนี้
จักรพงษ์ ยืนยันว่าฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย ที่จะเข้ายูเออีเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา เพราะเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลอยู่แล้วในการเพิ่มพาวเวอร์ให้กับพาสปอร์ตของไทย เรื่องนี้จะต้องมีการหยิบยกขึ้นมาคุยกับทางยูเออีเพื่อที่จะได้มีการเปิดฟรีวีซ่าอย่างเป็นการถาวรซึ่งกันและกัน แต่ยอมรับว่าต้องใช้เวลา เพราะต้องมีการดูรายละเอียดในหลายๆ เรื่องซึ่งมีการคุยกันตลอด