วันที่ 4 ต.ค. คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นรองโฆษกรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นงานใหม่ และได้พูดคุยกับ ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าจะสนับสนุนร่วมมือกันทำงานโดยไม่ได้มีความกังวลอะไร และมีการพูดคุยว่ามีความสนิทสนมกับทางรัฐมนตรีฝั่งพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพื่อความสอดคล้องในการทำงาน ซึ่งตนก็ได้อธิบายไปว่าเคยทำงานกับพรรคไทยรักไทย จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย และจากพรรคอนาคตใหม่ สู่พรรคก้าวไกล และมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งการทำงานในครั้งนี้ถือว่าเป็นการให้โอกาสจากผู้ใหญ่พรรคภูมิใจไทย ขับเคลื่อนประเด็นที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลเป็นหลัก และตนก็จะยังคงพูดในเรื่องประเด็นการเมือง ซึ่งตนไม่ใช่ สส.จะพูดประเด็นการเมืองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งไม่ได้ แต่หากเป็นประเด็นทางกฎหมายและกระทรวงของพรรคภูมิใจไทยทั้ง 4 กระทรวง นายชัย ก็จะให้โอกาสตนในการชี้แจง
ขณะเดียวกัน คารม ยังเน้นย้ำว่า ตนจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายถึงการเปลี่ยนช่องทางทางการเมืองว่าตนไม่ใช่งูเห่า เนื่องจากที่ไหนที่เราไม่สามารถทำงานให้ประชาชน เราจะไปอยู่ที่ใหม่ แม้แต่เป็นการทำงานทางการเมือง จริงๆแล้วตนก็อยู่ไม่กี่พรรคแม้แต่การจะย้ายมาสังกัดกลุ่มใจไทยก็ต้องรอหลังยุบสภาฯก่อน ตนจึงขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน แต่วันนี้เรามีความใจเด็ดมีความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์พูดได้ก็จะพูด แต่ไม่เคยทิ้งอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง
ส่วนมองอย่างไรถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล ไม่เข้าร่วมคณะกรรมการกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ ที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน คารม ระบุว่า การทำแบบนี้พรรคก้าวไกล อาจคิดว่าจะไม่ได้รัฐธรรมนูญตามที่คิดไว้ การออกแบบจะไม่เหมือนกัน พร้อมระบุว่าตนเข้าใจวิธีคิดของพรรคก้าวไกลดี เขาคิดว่าอยากทำอะไรที่ได้ดั่งใจเขา เป็นไปไม่ได้หรอก สังคมที่มีคนหลายกลุ่มต้องรวมกัน การเลือก ส.ส.ร.ที่จะทำกัน กับที่เขาอยากจะให้เลือกตั้งมาแต่ละจังหวัด เป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองมีหลายพรรค ประชาชนก็มีหลายกลุ่ม
ส่วนกรณีของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คารม มองว่า เป็นการตีความรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ แต่พอคนอื่นทำก็ว่าใช้กฎหมายเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ นี่จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ชัด และจะลุกลามไป สุดท้ายตนอยากบอกว่าที่ ครั้งที่ตนโหวตสวนมติพรรคก้าวไกล สนใจเรื่องเอกสิทธิ์ โดยเฉพาะเรื่องม. 112 พรรคยังไม่มีมติขับออกจากพรรค ซึ่งด้านเป็นการขัดมติพรรคและหลังการของพรรค แต่ ปดิพัทธ์ ถือได้ว่าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากแต่ไม่ได้อยู่ฝั่งรัฐบาล ไม่อยู่รัฐบาลและมี สส.ไปเป็นรองประธานรัฐสภา จึงไม่สามารถเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ โดยใช้วิธีการเลี่ยงเช่นนี้ ตนจึงมองว่า เป็นการเดินทับลอยที่กล่าวหาและว่าคนอื่นไว้ ตนมองว่าการที่พรรคก้าวไกลทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง การเมืองต้องรวมกันไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้
ส่วนการที่พรรคฝ่ายค้านไม่ร่วมเข้าในการร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทำให้เกิดการสะดุดหรือไม่นั้น คารม มองว่า คงไม่สะดุด เพียงแต่ไม่สมบูรณ์ในทุกมิติ การที่ฝ่ายค้านไม่ร่วมก็จะดูเหมือนทุกคนไม่เห็นพร้อง อาจจะเกิดความไม่ลงตัวหรือเกิดความขัดแย้ง ในเชิงความคิดว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะไปในรูปแบบไหน
ส่วนหากมีการเข้าพิจารณาในสภาฯจะตลอดรอดฝั่งหรือไม่นั้น คารม กล่าวว่า เขาเป็นเสียงข้างน้อย เราเป็นเสียงข้างมากอยู่แล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีการเขียนไว้อยู่แล้วตามมาตรา 256 ตนคิดว่ารัฐบาลชุดนี้มีการเดินทางการเมืองที่ดี ในสภาฯก็มีเสียงข้างมากตนคิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่อาจจะดูไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ ซึ่งการที่พรรคก้าวไกลไม่เข้าร่วมแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ต่างกัน