ไม่พบผลการค้นหา
ผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชัน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ สถานการณ์แย่ลงทุกตัว แถมจ่ายใต้โต๊ะเพิ่มขึ้น สัดส่วน 24% สูงสุดรอบ 3 ปี มีเปอร์เซ็นต์เงินเพิ่มพิเศษข้าราชการนักการเมือง คิดเป็น 0.41-1.23% ของจีดีพี ขณะที่ความเชื่อมั่นองค์กรอิสระตรวจสอบคอรัปชันลดลง

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย (ซีเอสไอ) เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งทำสำรวจทุกๆ 6 เดือน ครั้งนี้สำรวจ 2,400 ตัวอย่าง เมื่อเดือนธันวาคม 2560 พบว่าดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยโดยรวมอยู่ที่ระดับ 52 แย่ลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 53 ส่วนดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 51 แย่ลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 52 และแนวโน้มสถานการณ์คอร์รัปชันไทยอยู่ที่ระดับ 53 แย่ลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 54

ขณะที่ เมื่อแยกดูรายละเอียดเทียบเดือนมิถุนายน 2560 พบว่าแย่ลงเกือบทุกตัว ได้แก่ ดัชนีปัญหาและความรุนแรงของการคอร์รัปชันอยู่ที่ระดับ 42 จากระดับ 44 ดัชนีการป้องกันการคอร์รัปชันอยู่ที่ระดับ 53 จากระดับ 54 ยกเว้นดัชนีการสร้างจริยธรรมและจิตสำนึกดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 62 จากเคยอยู่ที่ระดับ 60

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ความคิดเห็นและข้อเท็จจริงจากกลุ่มตัวอย่างที่มีประสบการณ์ด้วยตัวเองหรือจากคนรอบข้าง พบว่า มี 24% ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ (เงินใต้โต๊ะ) แก่ข้าราชการหรือนักการเมืองที่ทุจริต เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งจ่าย 18% นับว่าเป็นสัดส่วนสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 ส่วนไม่จ่ายมี 54% ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งไม่จ่าย 59%

อย่างไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์เงินเพิ่มพิเศษที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายแก่ข้าราชการหรือนักการเมืองที่ทุจริตเพื่อให้ได้สัญญา เฉลี่ยอยู่ที่ 5-15% ทรงตัวจากช่วงที่ผ่านมา คิดเป็นเงิน 6.62 หมื่นล้านบาท – 1.98 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 2.29-6.86% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด และคิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 0.41-1.23%

สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงของการคอร์รัปชันในปัจจุบันและในอนาคต กลุ่มตัวอย่างมีความกังวลว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากจะมีโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมากขึ้นที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้าง

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือของภาคเอกชน ประชาชน กับการต่อต้านคอร์รัปชันดีขึ้น สวนทางกับการทำงานขององค์กรอิสระและหน่วยงานราชการที่มีประสิทธิภาพต่อต้านคอร์รัปชันลดลง

นอกจากนี้ เริ่มเห็นสัญญาณการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งาน ระดับ 20% และ 30-35% ของการใช้จ่ายงบประมาณเริ่มเกิดขึ้นด้วย

อีกทั้งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มากกว่า 90% ยังแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยที่การทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง, ไม่เห็นด้วย ที่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน แต่มีผลงานและทำประโยชน์ให้สังคมเป็นเรื่องที่รับได้ และไม่เห็นด้วยในการให้สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเรื่องไม่เสียหาย และความสามารถที่จะทานทนต่อการทุจริตคอรัปชันลดลง อยู่ที่ระดับคะแนน 2.03 จาก 2.23 ซึ่งยิ่งใกล้ 0 คะแนนคือไม่สามารถทนต่อการทุจริตคอรัปชั่นได้

ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ความเชื่อมั่นต่อการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และองค์กรอิสระอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ต่อต้านคอร์รัปชันลดลง แต่ความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ และสื่อมวลชน รวมถึงภาคประชาชนในการช่วยต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันกลับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ มีเรื่องสำคัญที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการโดยด่วนที่สุดเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน ได้แก่ เสริมสร้างจิตสำนึก จริยธรรม และค่านิยมความซื่อสัตย์ บังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดหรือมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาด และปรับปรุงกฎระเบียบในการประมูลงานหรือการจัดซื้อจัดจ้างหรือสัมปทาน และตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง สำหรับกลยุทธ์แก้ไขการทุจริตคอร์รัปชันที่รัฐควรให้ความสำคัญลงมือทำเป็นอันดับแรก คือ สร้างกระบวนการหรือวิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก สร้างแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต และจัดวางระบบหรือขั้นตอนในการทำงานของภาครัฐโดยรวม

ด้านนายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับองค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ที่จะจัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชันของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย ประจำปี 2560 ซึ่งจะประกาศในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ผลการจัดอันดับไทยจะออกมาบวกหรือลบ ยังไม่ทราบ แต่อยากให้อันดับของไทยดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนภาครัฐ ราชการ และความเป็นประชาธิปไตยลดลง จึงต้องติดตามประกาศผลจัดอันดับว่าส่วนไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน นอกจากนี้ต้องการให้รัฐบาลมีการผลักดันกฎหมายที่ดูแลเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือผลประโยชน์ทับซ้อนออกมา ซึ่งขณะนี้เป็นร่างพระราชบัญญัติอยู่ในขั้นพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่ ซึ่งจะช่วยลดคอร์รัปชันของหน่วยงานราชการ บุคคลและนักการเมืองได้ รวมถึงจะสามารถสร้างความชัดเจนและตอบคำถามสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว เช่น การยืมนาฬิกาเพื่อน การยืมเงินของข้าราชการกับนักธุรกิจ 300 ล้านบาท ได้ว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้

อ่านเพิ่มเติม: