นายเอกพล จันทะวงษ์ หรือ โค้ชเอก กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ได้มีการวางแผนกันว่าภายหลังเตะบอลอุ่นเครื่องเสร็จ จะพากันเข้าไปเที่ยวเพื่อศึกษาภายในถ้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนและน้องบางส่วนได้เข้าไปสำรวจมาแล้ว โดยกำหนดเวลาในการเที่ยว 1 ชั่วโมง ไม่เกิน 17.00 น. ต่อมาหลังจากรู้ว่าติดอยู่ในถ้ำแล้ว ทุกคนได้ปรึกษากันและตัดสินใจเดินต่อไป และยืนยันว่า 13 คน ส่วนมากว่ายน้ำเป็น
หลังจากเดินทางไปเรื่อยๆ ตอนแรกยังไม่รู้ว่ามีน้ำขึ้น ก่อนที่น้องตี๋ หรือ ด.ช.พรชัย คำหลวง ได้อาสาว่ายน้ำไปก่อน ตนจึงตามไปและพบว่าถ้าไปต่อต้องมุดรอดน้ำออกไป ก่อนที่จะเจอสามแยก และน้องบิว หรือ นายเอกรัตน์ ว���ศ์สุขจันทร บอกว่า "เราเจอน้ำ"
ตนจึงบอกให้น้องรอและได้อาสานำไปก่อนโดยใช้สัญญาณเชือก ปรากฎว่าข้างล่างไม่สามารถไปต่อได้ จึงกระตุกเชือกและบอกน้องว่าเราออกทางนี้ไม่ได้ และต้องหาเส้นทางใหม่ ตนจึงได้เสนอว่าต้องขุดร่องเพื่อให้น้ำระบาย แต่ไม่มีท่าทีว่าน้ำจะลดลง น้องจึงบอกว่าให้เราหาที่นอน เพราะมันมืดแล้ว
ตนจึงบอกน้องทุกคนว่าอาจเป็นปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง เพื่อให้กำลังใจน้อง จึงพาน้องย้ายไปเนินและได้ชวนน้องไหว้พระ โดยยอมรับว่าขณะนั้นไม่ได้รู้สึกกลัว เพราะคาดว่าเช้าวันรุ่งขึ้นก็สามารถออกไปจากถ้ำได้ หลังจากผ่านวันที่ 4-5 ได้ปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันต่อ ก่อนถอยออกมาบริเวณเนินนมสาว และเริ่มรู้สึกว่าน้ำขึ้น จึงตกลงกันตัดสินรอเจ้าหน้าที่ และพยายามขุดผนังไปเรื่อยๆ ซึ่งก่อนขึ้นไปขุดจะกินน้ำให้อิ่มก่อน
ขณะที่น้องตี๋ กล่าวเสริมว่าพยายามหาแหล่งน้ำ บริเวณหินย้อย ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำที่สะอาด ส่วนสุขภาพหลังวันที่ 2 เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง มีอาการอ่อนแรง โดยโค้ชเอกให้แนะนำใช้ไฟฉายที่ละอัน และให้อยู่เฉยๆ เพื่อไม่ต้องใช้พลังงาน
เมื่อถามถึงคนที่ตอบคำถามนักประดาน้ำต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษ ที่เข้าไปเจอชุดแรก ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน หรือน้องอดุลย์ เปิดเผยว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากได้ยินเสียงมีคนผุดขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งโค้ชเอกได้บอกให้ตนวิ่งลงไป และได้กล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากได้ยินบทสนทนาของนักประดาน้ำ และได้กล่าวตอบโต้ตามที่มีการเผยแพร่คลิป
ส่วนกรณีของ น.ต. สมาน กุนัน หรือจ่าแซม นั้น โค้ชเอก เล่าว่ารู้สึกเสียใจและประทับใจในตัวจ่าแซม ที่ยอมเสียสละชีวิต เพื่อให้หมูป่าทั้ง 13 คน ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ซึ่งทุกคนรู้สึกช็อคและเสียใจเหมือนกัน ก่อนมีคนส่งภาพวาดจ่าแซมมา จึงได้ตกลงกันว่าจะเขียนข้อความเพื่อส่งต่อให้ครอบครัว 'จ่าแซม' และยืนยันว่าจะบวชเพื่ออุทิศตนให้จ่าแซมทุกคน และรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจทุกคน ประสบการณ์ครั้งนี้ต้องใช้สติอย่างคุ้มค่าและมีสติ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
ด้าน พ.ท. นพ.ภาคย์ โลหารชุน หรือ หมอภาคย์ กล่าวว่า หลังจากพบเด็กได้จัดทีมให้ดูแลน้องๆ และหาอาหารการกิน ซึ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้คือการดำน้ำย้อนกลับไป ขณะที่นักดำน้ำต่างชาติได้เสนอให้ใช้อุปกรณ์เพื่อพาน้องดำน้ำออกไป ก่อนนำไปสู่ฏิบัติการพาน้องออกจากถ้ำจนสำเร็จ
โดยตลอดระยะเวลา 9 วัน ทุกคนต้องแบ่งปันกันทุกคน เพื่อดูแลเด็กทั้ง 13 คน เพราะตนและทีมเข้าไปช่วยเหลือต่างมีครอบครัว จึงมองเด็กเหมือนคนในครอบครัว ส่วนการคัดเลือกการลำเลียงออกไปหลังได้ปรึกษากับหมอชาวต่างชาติ (นพ.ริชาร์ด แฮร์ริส) ซึ่งอยู่ในนั้นเห็นตรงกันว่าน้องทุกคนมีสุขภาพดีและพร้อมออกมาทุกคน
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าตลอดเวลาที่อยู่ในถ้ำยืนยันว่ากำลังใจของทั้ง 13 คนดี มีสุขภาพดีตั้งแต่อยู่ในถ้ำหลวง โดยสังเกตพบว่าภายหลังได้รับอาหาร มีการพูดคุยหลายคนได้พูดคุยกันเรื่องอาหาร และจะนำอาหารพื้นบ้านมาให้หน่วยซีลและตน อาทิ ไส้อั่วงู ทั้งนี้ได้มีการพูดคุยกันว่าจะพาทีมหมูป่าเที่ยว ที่ จ.นครราชสีมา ตามคำสัญญา
จ.เชียงราย พร้อมดูแล 13 หมูป่า แนะระวังคำถามกระทบการใช้ชีวิต
นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวถึงการดูแลสุขภาพของทั้ง 13 ทีมหมูป่า ว่า หลังจากผ่านวิกฤตทั้ง 13 คน มีกำลังใจและร่างกายดีเยี่ยม โดยก่อนที่จะมีการส่งทีมหมูป่ากลับบ้าน ทั้ง 13 คน ได้กล่าวขอบคุณทีมแพทย์ทุกคน ซึ่งเมื่อวานนี้ถือเป็นครั้งแรกภายหลังถูกนำตัวมารักษาสุขภาพ โดยหลักวิชาการด้านสาธารณสุขแล้ว ภายหลังมีการทดสอบยืนยันว่ากำลังใจและกำลังกายพร้อมกลับบ้าน
นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การดูแลทั้ง 13 ชีวิต จะมีทีมสหวิชาชีพ ซึ่งจะส่งเข้าไปดูแลเด็ก ซึ่งนายอำเภอจะเป็นแกนกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน อ.แม่สาย จะเป็นคนประสานเพื่อช่วยเหลือจนเด็กทั้ง 13 คน ส่วนการขอสัญชาติ ตอนนี้อยู่ในกระบวนการตามขั้นตอน
พ.ญ.พัชนีวรรณ อินต๊ะ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กล่าวว่าจากการพูดคุยและประเมินด้านจิตวิทยา พบว่ามีความเข้มแข็งทางใจดี และตอบรับแรงกดดันในสังคมได้และพร้อมกับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ ขณะเดียวกันอยากให้น้องกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติ โดยไม่มีสิทธิพิเศษ และอยากให้ทุกคนให้พื้นที่เด็ก ขณะที่การถามคำถามต้องให้น้องเตรียมตัว และให้โอกาสปฏิเสธการตอบคำถาม
ด้านนางอัปษรศรี ธนไพศาล นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่าหลังได้มีการพูดคุย ทุกคนมีความเข้มแข็งทางใจ และเป็นเด็กที่ดี เมื่อออกไปภายนอกอาจจะมีบางอย่างที่สกัดกั้น และควรปล่อยให้น้องใช้ชีวิตเป็นปกติ ซึ่งจะทำให้น้องเติบโตและสามารถใช้ชีวิตที่ดีได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :