เมืองบูชาที่ตั้งอยู่ไปไม่ไกลจากกรุงเคียฟไม่หลงเหลือสภาพเดิมอีกต่อไป อาคารถูกระเบิดถล่ม ร่างพลเรือนผู้เสียชีวิตจำนวนมากถูกทิ้งให้เน่าเอาไว้บนถนน อีกจำนวนมากถูกฝังหมู่เพื่อทำลายหลักฐาน ทางการรัสเซียได้เข้ายึดเมืองบูชาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการรุกรานยูเครน ก่อนที่จะมีการถอนกำลังของตนเองออกนอกรอบกรุงเคียฟและเมืองทางตอนเหนือเมื่อช่วงปลาย มี.ค.ที่ผ่านมา การจากไปของกองทัพรัสเซียเปิดเผยให้โลกเห็นถึงอาชญากรรมสงครามอันน่าสยดสยองของรัสเซีย
สำนักข่าว ITV News เปิดเผยภาพการลงพื้นที่สำรวจหลุมฝังศพหมู่ที่ถูกกองทัพรัสเซียขุดขึ้นใกล้กันกับโบสถ์เซนต์แอนดรูวส์ โวโลดีเมียร์ สเตฟางโก ชายชาวยูเครนธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่นอกเทปกั้นที่เกิดเหตุใกล้กันกับหลุมฝังศพหมู่ เขากำลังยืนภาวนาไม่ให้ชายผู้เป็นน้องแท้ๆ ของตนเองคือหนึ่งศพผู้เสียชีวิตที่กำลังถูกขุดขึ้นมา
โวโลดีเมียร์เป็นหนึ่งในบรรดาญาติๆ กว่าหลายสิบคนที่มายืนรอยืนยันอัตลักษณ์ผู้ตายซึ่งถูกรัสเซียนำศพไปฝังหมู่ ตัวเลขของผู้ตายที่ถูกนำมาฝังหมู่ยังคงไม่ได้รับการยืนยันว่ามีมากเพียงใด แต่อย่างน้อยมีการค้นพบร่างไร้วิญญาณของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ชาวยูเครน ผู้ที่ถูกฝังเอาไว้อย่างน่าเวทนาแล้วกว่า 115 ราย หลายรายสิ้นใจจากการถูกยิงบนถนนของเมืองบูชา
ศพแต่ละร่างค่อยๆ ถูกขุดและนำออกมาจากหลุมที่มีความยาวกว่าหลายเมตร เพื่อทำการชันสูตรทีละร่าง นาทีที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง โวโลดีเมียร์กรีดร้องออกมาปานใจจะขาด เขาพบศพของดิมิโทร น้องชายของตนที่ร่างเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากหลุมศพหมู่
“ช่วยปิดตาเขาหน่อย น้องชายของผม ตรงนั้น คนที่สี่” โวโลดีเมียร์ร้องไห้พร้อมบอกเจ้าหน้าที่ให้ช่วยปิดตาร่างไร้วิญญาณของน้องชายตนเอง ดิมิโทรนอนเรียงรายอยู่กับศพอีกจำนวนนับสิบ พวกเขาถูกสังหารโดยกองทัพรัสเซีย “มันเจ็บปวด ผมรู้สึกเสียใจมาก ผมอยากจะกอดเขาเอาไว้ ปิดตาให้เขา พูดคุยกับเขา และมันก็มีแต่น้ำตาและความเจ็บปวด” โวโลดีเมียร์ให้สัมภาษณ์กับ IT News ภายหลัง “มีอะไรอีกหรือ ความเกลียดชังต่อรัสเซียยังไงล่ะ”
IT News ลงพื้นที่ต่อไปยังสถานที่ที่น้องชายของโวโลดิเมียร์ถูกสังหาร พวกเขาพบกับพยานที่เห็นการสังหารดิมิโทรจากทหารรัสเซียจำนวนนับสิบนาย “พวกเขาวิ่งไปทางนั้น และก็ยิงเขา และลากเขามาตรงนี้ และตรงนี้แหละที่พวกเขายิงเขาจนตาย” พยานชื่อโอเลกให้การตรงกับหลักฐาน มีการพบปลอกกระสุนขนาด 7.62 จากปืน RPK อยู่บนพื้น พร้อมกับรอยกระสุนและการยืนยันวันสังหารเมื่อ 26 มี.ค. วันเดียวกันกับที่ดิมิโทรหายตัวไป พยานยืนยันตัวตนดิมิโทรจากภาพถ่ายอีกครั้งว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ทหารรัสเซียสังหารลง
IT News ลงพื้นที่ต่อไปยังแคมป์บ้านพักเด็กไม่ไกลกันออกไป สถานที่ที่เกิดการสังหารอย่างเป็นระบบโดยกองทัพรัสเซีย มีการเปิดเผยภาพถ่ายจากเจ้าหน้าที่ทหารยูเครนที่ลงพื้นที่ไปยังห้องใต้ดินของแคมป์บ้านพักเด็ก ร่างผู้ใหญ่นับสิบรายถูกมัดมือไพล่หลัง และหน้าของศพคว่ำลงกับพื้น ผิวซีดเซียวเริ่มปนเขียวแกมม่วงจากการเน่าเปื่อย พวกเขาถูกยิงในระยะประชิดและถูกทิ้งเอาไว้อยู่อย่างนั้น
แคมป์บ้านพักเด็กถูกฉีดสเปรย์สีแดงตัว V สัญลักษณ์ที่ถูกใช้โดยกองทัพรัสเซียเพื่อระบุตัวตน กล่องเสบียงอาหารของทหารรัสเซียยังคงถูกทิ้งเอาไว้บริเวณก่อนทางเข้าหน้ากรงขังใต้ดิน IT News เข้าไปยังห้องใต้ดินก่อนพบรอยกระสุนบนผนังที่ร่างนับสิบถูกยิงสังหาร รอยกระสุนชี้ว่าทหารรัสเซียกำลังยืนก่อนที่จะสาดกระสุนลงมายังพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังถูกมัดมือไพล่หลังและหันหน้าเข้ากำแพง ยังมีกระสุนขนาด 5.45 คาลาชนิคอฟตกอยู่บนพื้น ทั้งนี้ กระสุนดังกล่าวถูกใช้ในทางการทหารเท่านั้น
มีการระบุตัวตนร่างของผู้ถูกสังหารในแคมป์บ้านพักเด็ก จำนวนในนั้นคือ เซอร์เก มาเทชโก, วลาดิเมียร์ โปเชนโก, วิกโตร์ โปรก์โก, วาลารี่ ปลุกโก, และ ดิมิโทร ชูลไมส์เตอร์ น้องสาวของดิมิโทรเปิดเผยว่า พี่ชายของเธอกับคนที่ถูกสังหารทั้งหมดปฏิเสธที่จะหนีออกมาจากเมืองบูชา และยืนยันที่จะอยู่เพื่อช่วยเหลือให้พลเรือนในเมืองได้หนีทหารรัสเซียออกมา อย่างไรก็ดี พวกเขาทั้งหมดถูกทหารรัสเซียจับกุมตัวเอาไว้ได้ ก่อนถูกสังหารในเวลาต่อมา
“เขาใช้ชีวิตแสนปกติ เขาอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเอง ในที่ดินของตัวเอง ไอ้พวกสัตว์ร้ายคนเถื่อนเหล่านั้นโผล่ตัวออกมา และพรากชีวิตเขาจากไป ทำไม เพื่ออะไร” ทาเทียนา ชูลไมส์เตอร์ ให้สัมภาษณ์พร้อมน้ำตากับทาง ITV News
ห่างไปไม่กี่กิโลเมตรจากแคมป์บ้านพักเด็ก ITV News ลงพื้นที่ต่อไปยังอาคารบริษัทด้านการเกษตรแห่งหนึ่งของเมืองบูชา สถานที่ที่เกิดการสังหารหมู่ครั้งใหญ่อย่างน่าสยดสยอง ร่างของชาย 8 รายนอนตายอยู่ข้างๆ ตึก อีก 3 รายนอนเสียชีวิตอย่างเดียวดายห่างกันออกไปไม่ไกล
ศพเกือบทุกร่างถูกมัดมือไพล่หลังเช่นเดียวกันกับศพเกือบสิบรายที่แคมป์บ้านพักเด็ก ชายรายหนึ่งที่ถูกมัดมือไพล่หลังถูกทหารรัสเซียนำของมีคมตัดนิ้วของเขาออกเพื่อทรมานก่อนตาย อีกรายถูกสายไฟพันรอบขาเพื่อไม่ให้สามารถหนีไปไหนได้ ร่างของชายรายนี้มีรอยฟกช้ำจำนวนมากที่แผ่นหลัง เผยให้เห็นภาพของการถูกรุมซ้อมทุบตีและเตะต่อยบริเวณหลังอย่างทารุณโหดร้าย ก่อนที่ชีวิตของเขาจะถูกพรากไป
ลังไม้อุปกรณ์การทหารของพลร่มที่ 7 จากรัสเซียถูกทิ้งเอาไว้ห่างกันไปไม่ไกลจากร่างของชายที่ถูกมัดมือและซ้อมทรมาณจนตาย ในอาคารยังมีร่างของชายอีกรายนอนเสียชีวิตอยู่ที่บริเวณบันไดอาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบว่า ในอาคารบริษัทด้านการเกษตรแห่งนี้มีผู้ถูกทหารรัสเซียสังหารไปแล้วกี่ราย นอกจาก 8 รายนอกตัวอาคาร และอีกหลายร่างในตัวอาคาร แต่หลักฐานชี้ชัดว่า รัสเซียใช้อาคารดังกล่าวเป็นสถานที่ทรมานพลเรือนยูเครน
“มันคือศูนย์บัญชาการอีกแห่งของพวกเขา แต่พวกเขาใช้มันในการประหารชีวิตคนที่นี่ พวกเขายังใช้สถานที่นี้ไปกับ ‘กิจกรรมการกลั่นกรอง’ ต่างๆ” แอนทอน โอโนเปรียนโก เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของยูเครนกล่าวกับผู้สื่อข่าว ITV News โดย “กิจกรรมการกลั่นกรอง” ในความหมายของโอโนเปรียนโกหมายถึง การที่ทหารรัสเซียจะเลือกพลเรือนยูเครนที่ถูกจับกุมตัวมาว่า ใครในนั้นจะเป็นผู้โชคร้ายที่จะได้รับการประหารชีวิตจากทหารรัสเซีย
อานาโทลี ปรีฮีโก คือเหยื่ออีกรายที่ถูกทหารรัสเซียประหารชีวิตในที่แห่งนี้ อานาโทลีทำงานเป็นหน่วยป้องกันชายแดนยูเครน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับการเลือกจากทหารรัสเซียให้กลายมาเป็นนักโทษชั่วคราว และผู้ถูกประหารโดยความเลือดเย็นของทหารรัสเซีย
พยานที่พบเห็นร่างของอานาโทลีระบุว่า เนื้อแก้มของเขาถูกตัดออก ในขณะที่เขามีรอยแผลถูกแทงอีกจำนวนมากบริเวณลำตัว รวมถึงรอยกระสุนยิงบริเวณหน้าอกของเขาด้วย “ผู้คนที่ถูกประหารในที่นี้ ส่วนใหญ่ถูกมัดมือไพล่หลัง มันคือสัญลักษณ์ของการซ้อมทรมาน” เปโตร นีวิเรตส์ เจ้าหน้าที่อัยการกรุงเคียฟระบุกับ ITV News
ชายรายหนึ่งที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง เห็นการทรมาน และรอดตายมาได้ให้สัมภาษณ์ว่า ทหารรัสเซียเดินเคาะตามบ้านทีละหลัง เพื่อเลือกว่าพวกเขาจะจับใครมาสังหารทิ้ง พยานรายดังกล่าวรอดชีวิตมาได้เพราะเขามีหลักฐานยืนยันว่า ตัวเองเคยรบในอัฟกานิสถานภายใต้บัญชาการของกองทัพโซเวียตเมื่อ 40 ปีก่อน
“ผมเห็นชายคนแรกที่ถูกยิงเข้าที่หลัง และหลังจากชายคนนั้นก็มีอีกสองคน ผมถูกแยกตัวไปกับอีกกลุ่ม ไปกับอีกคนกลุ่มหนึ่ง” พยานรายดังกล่าวระบุ “หลังจากนั้น เขาเอาตัว 10-12 คนไป พวกเขาแยกกลุ่มคนออกจากกัน และเอาเสื้อยืดคลุมหัวพวกเขา มัดมือพวกเขาไพล่หลัง และพากลุ่มคนเหล่านั้นไปที่มุมตึก และพวกทหาร (รัสเซีย) ก็เดินกลับออกมาเพียงลำพัง” ทั้งนี้เขายังคงหวาดผวากับเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่ขอเปิดเผยใบหน้าตัวเองเพราะกลัวภัยอันตรายจากกองทัพรัสเซีย “ผมได้ยินเสียงยิงปืน และพวกทหารก็เดินออกมา และคนทั้งหมดนั้นก็ถูกฆ่าจนหมด”
การเก็บหลักฐานอาชญากรรมในเมืองบูชาที่ก่อขึ้นโดยรัสเซียยังคงเดินหน้าต่อไป คำถามที่สำคัญคือ เหตุการณ์ทั้งสามจะถูกนับรวมไปกับการบ่งชี้ว่ารัสเซียได้ก่ออาชญากรรมสงครามในยูเครนหรือไม่ ITV News ถามคำถามดังกล่าวกับอัยการสูงสุดของยูเครน “มันไม่ใช่แค่อาชญากรรมสงคราม มันคืออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ” ไอรีนา เวเนดิกโทวา อัยการสูงสุดยูเครนระบุ เธอย้ำอีกว่า วลาดิเมีย์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เป็นอาชญากรสงครามแห่งศตวรรษที่ 21 และเขามีส่วนรับผิดชอบโดยตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน ลามไปจนถึงก่อนหน้านี้ที่เชชเนีย จอร์เจีย และซีเรีย
ชมรายงานพิเศษของ ITV News ได้ทาง: https://www.youtube.com/watch?v=hqxLc5XxIuo