แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวในรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่ในวันนี้ ว่า การที่ทางการไทยดำเนินคดีกับผู้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อวิจารณ์รัฐบาลและราชวงศ์ ถือเป็นการปราบปรามอย่างเป็นระบบต่อผู้เห็นต่าง และสถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เนื่องจากการเพิ่มมาตรการจำกัดต่างๆ ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19
ผ่านรายงานเรื่อง "มีคนจับตาดูอยู่จริงๆ: ข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกออนไลน์ในประเทศไทย" (They are always watching) เผยให้เห็นว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาใช้กฎหมายที่เขียนอย่างกำกวมและให้อำนาจอย่างกว้างขว้างมากขึ้น เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้วิจารณ์อย่างสงบหลายสิบคน นับแต่ได้รับเลือกตั้งมาเมื่อปีที่แล้ว
แคลร์ อัลแกร์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการระดับโลกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าการคุกคามและดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างบนโลกออนไลน์ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ที่มีเป้าหมายเพื่อปิดปากผู้ที่มีความคิดเห็นต่างจากตน
"การโจมตีเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์ของรัฐบาล เป็นการกระทำที่น่าละอายเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบโดยผู้ที่กล้าตั้งคำถามกับพวกเขา การปราบปรามยิ่งหนักข้อมากขึ้น เนื่องจากดูเหมือนว่าทางการได้ใช้โอกาสที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นข้ออ้าง เพื่อกำจัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และจำกัดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย"
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลสัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักการเมือง นักกฎหมาย และนักวิชาการเพื่อจัดทำรายงานฉบับนี้ ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่ารัฐบาลไทยเอาผิดทางอาญากับการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งนี้เพื่อปิดปากผู้ที่ถูกมองว่าวิพากษ์วิจารณ์ทางการ ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายการปราบปรามจากการโพสต์ข้อความบนโลกออนไลน์หลายคน ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดีของศาล และอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับเป็นเงินจำนวนมาก การจำกัดสิทธิเพิ่มขึ้นท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเมื่อเดือนที่แล้วพลเอกประยุทธ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งยิ่งเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบยิ่งขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม