วันที่ 7 ม.ค. 2567 กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยกรณีมีหมายเรียกไปยังนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 9 คน ในข้อหายุยงปลุกปั่นและอั้งยี่ซ่องโจร จากการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมแต่งชุดมลายูฉลองเทศกาลฮารีรายอ เมื่อเดือนเมษายน 2566 โดยให้ไปรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนในวันที่ 9 ม.ค.67 ที่สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี
กัณวีร์ เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเพียงไม่ถึง 3 เดือน ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การแถลงนโยบายไม่ตรงปก การแถลงงบประมาณที่ไม่ตรงปก รัฐบาลนี้ยิ่งทำให้ประเทศนี้กลายเป็น ประเทศไม่ตรงปก
"อย่างที่ท่านนายกรัฐมนตรี ชี้แจงในการแถลงงบ 67 ว่าให้ความสำคัญกับความมั่นคง และจะให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ มั่งคั่ง ใน 4 ปีที่ท่านบริหารประเทศ และเดือนหน้าจะลงพื้นที่ไปส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม จชต.ให้เห็นว่า จชต.มีดีมากมาย"
กัณวีร์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีแถลงเรื่องนี้ จะรู้ หรือ ไม่รู้ ว่ากำลังมีการใช้กฎหมายปิดปากกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นการดำเนินคดีกับคนที่ทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยว ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอยากส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวในพื้นที่ ยิ่งพูดยิ่งไม่ตรงปก
"ผมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ไปร่วมกิจกรรมในวันนั้น ได้เห็นพลังของเยาวชน และประชาชน ที่ต้องการสื่อสารสันติภาพด้วยการแต่งกายและวัฒนธรรม การกล่าวคำปฎิญญาก็เป็นการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีตรงไหนที่หมิ่นเหม่ความมั่นคง และการแต่งชุดมลายูในวันนั้นก็จุดพลัง Soft Power เศรษฐกิจใน จชต.คึกคักจากชุดมลายูที่กลายเป็นกระแสนิยมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และก็พากันมาท่องเที่ยวใน จชต.มากขึ้น"
กัณวีร์ เปิดเผยว่า หากรัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนแม้กระทั่งการแต่งกาย จะยิ่งย้อนแย้งกับการสมัครเป็นคณะมนตรีเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ อย่างที่ตนอภิปรายไว้ในการชี้แจงงบประมาณ ว่าจะมีใครเลือก หากในประเทศเรายังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
กัณวีร์ ยังได้นำคำกล่าวปฏิญญาของเยาวชนในวันนั้นมาชี้แจงว่าเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่สัญญาว่า จะยืนหยัดและเชิดชูคุณค่าของความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะยึดมั่นศรัทธาต่อศาสนา ชาติ และมาตุภูมิ เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเยาวชนคือความหวังของชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของความเป็นหนึ่งเดียวจุดหมายคือ เอกภาพของมวลมนุษยชาติ เท่านั้น