วันที่ 19 ก.ค. 2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล จำนวน 11 คน ในวันแรก ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ว่า ศักดิ์สยาม นั้นได้นำชื่อใครสักคนมาถือครองหุ้นส่วนกิจการแทนตัวเอง ทำทีว่าได้ขาดจากกิจการ เพื่อให้ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเข้าประมูลงานกับกระทรวงที่ได้ดูแลโดยตรง ซึ่งขัดต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้ในการเข้ารับตำแหน่ง
ปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า ศักดิ์สยาม ถือครองหุ้น หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น เกือบ 100% ตั้งแต่ปี 2558-2561 และระบุในบัญชีทรัพย์สินว่าเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจนี้ก่อนเข้าดำรงตำหน่งรัฐมนตรี และเคยออกมาชี้แจงหลังจากรับตำแหน่งว่าไม่ได้เป็นที่ปรึกษาอีกแล้ว เพราะโอนหุ้นออกไปตั้งแต่ปี 2561
โดยตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2539 หจก. ดังกล่าว มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ปรากฏชื่อศักดิ์สยาม 40% คนในตระกูลชิดชอบ 40% คนนอกอีก 20% และใช้บ้านเป็นที่ตั้งสำนักงาน จนกระทั่งปี 2540 คนในนามสกุลชิดชอบ ออกจากการเป็นห้างหุ้นส่วนโดยสิ้นเชิง และย้ายไปอยู่ที่อื่น จนผ่านไป 18 ปี ในปี 2558 ศักดิ์สยาม กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพิ่มทุนจดทะเบียน 25.5 ล้านบาท รมต ถือหุ้นเกือบ 100% มีอีกหนึ่งรายชื่อแต่ถือหุ้นเพียง 1,000 บาท และเพิ่มทุนอีก 2 ครั้ง ขึ้นไปถึง 120 ล้าน ย้ายที่ตั้งไปอยู่ตามทะเบียนบ้านในปัจจุบัน
โดยในปี 2558-2560 ได้งานจากกระทรวงคมนาคม มูลค่ารวม 400 กว่าล้านบาท จนปี 2561 โอนหุ้นออกไปทั้งหมด บ่งชี้ว่า ขาดจากการเป็นหุ้นส่วนก็คือเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมที่ปรากฎอยู่ในกรมพัฒนาธุรกิจการค้าา โดยขายหุ้นให้ 'นาย A' ซึ่งไม่ปรากฎหลักฐานการชำระเงิน เมื่อไปสืบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า นาย A เป็นผู้ถือหุ้น และกรรมการในธุรกิจ 4 แห่ง แต่ 3 แห่งทิ้งร้างไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ที่เดียวที่มีที่ตั้งเดียวกับ หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น จากฐานข้อมูลของประกันสังคม และสรรพากร ทั้งเงินนำส่งประกันสังคม และแบบแสดงรายได้ต่อสรรพากร มีรายได้ 100,000 บาท ต่อปี
ขณะที่ บจก.ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผู้ถือหุ้นอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งก่อตั้งผู้ที่ถือหุ้นคือพี่ชายของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ แม้ว่าปี 2554 ผู้ถือหุ้นถูกเปลี่ยนท้งหมด แต่สถานที่ตั้งยังไม่เคยย้ายไปไหน ยังคงใช้บ้านของพี่ชายศักดิ์สยามเป็นที่ตั้ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่ตั้งเดียวกับบริษัทของหลานศักดิ์สยาม
ปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในปี 2558 ศักดิ์สยาม เข้ามาเป็นกรรมการของบริษัท บจก. ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) และออกจากการเป็นกรรมการหลังเลือกตั้งปี 2562 ที่น่าสนใจคือมีคนที่เข้ามาเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งนี้ คนนั้นคือ นาย A ที่มารับโอนหุ้น หจก บุรีเจริญฯ
ปกรณ์วุฒิ แจงความสัมพันธ์นาย A ตระกูลชิดชอบ ดังนี้
2554 - ซื้อที่ดินเขากระโจง จากบิดาของ ศักดิ์สยาม
2558 - เข้ามาเป็นลูกจ้างบริษัทศิลาชัยพร้อมๆ กับที่ศักดิ์สยาม เข้ามาเป็นกรรมการ
2561 - รับโอนหุ้นกิจการ หจก.บุรีเจริญ ทั้งหมดจากศักดิ์สยาม
นอกจากนี้ ปกรณ์วุฒิ เสริมว่า งบการเงินปี 2560 หจก. บุรีเจริญฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 205 ล้านบาท และรายได้สองปีล่าสุดเกือบ 600 ล้านบาท และห้างหุ่นส่วนนี้ได้งานของกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลคสช. กว่า 400 กล้านบาท และในช่วงเดือนตุลาคม ถึงธันวาคมปี 2560 ก็มีการเซ็นสัญญางานกับกระทรวงคมนาคมทั้งสิ้น 95 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อไปว่า การยักย้ายถ่ายเทมันสับสนไปหมด ศักดิ์สยามถึงได้ยื่นทรัพย์สินไม่สอดคล้องในสิ่งที่ควรจะเป็น หจก.บุรีเจริญฯ ยังเป็นของ ศักดิ์สยาม มาโดยตลอด นั่นแปลว่า ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี และยังไม่พอ ข้อเท็จจริงปรากฎอีกว่าการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้งานจากกระทรวงกว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ หจก. บุรีเจริญฯ ยังมีพฤติกรรมการประมูลที่ผิดปกติ เพราะราคาประมูลถนนทางหลวงชนบทนั้นใกล้เคียงกับราคากลาง ห่างกันเพียงจุดทศนิยม
ปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า พฤติกรรมของศักดิ์สยาม ใช้ชื่อของ "นอมินี' มาใส่เอกสารว่าเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง แต่ความเป็นจริงยังเป็นเจ้าของมาโดยตลอด สะท้อนว่าจงใจปกปิด และนำกิจการตัวเองมาเป็นคู่สัญญากับรัฐ ซึ่งใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตัวเองมีผลประโยชน์ และมีพฤติกรรมประมูลที่ผิดปกติ อ้างว่า นำความเจริญมาให้พื้นที่ จริงๆ แค่หลอกลวง ประชาชนเพื่อให้เลือกพวกพ้องกลับมาสู่อำนาจในครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง
‘ภูมิใจไทย’ ลุกประท้วงรัว โวย ‘ทวี’ อภิปรายซ้ำซากน่าเบื่อ ปม 'ศักดิ์สยาม' ซุกหุ้น
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาติ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ศักดิ์สยามว่า ปัจจุบันท่านพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 30/2 หมู่ 15 ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ บนโฉนดที่ดินชื่อบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ซึ่งเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่ง ป.ป.ช.มีคำสั่งให้ผู้ว่าการรถไฟฯ ดำเนินการกับผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่าจำนวนที่ดิน 5,083 ไร่เศษ เป็นที่ดินของการรถไฟฯ และมีเครือญาติของท่านอยู่ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งถือว่าไม่ชอบด้วยกฏหมาย มีคำพิพากษาศาลฎีกาไว้แล้ว
ทวี ยังได้เปิดเผยว่า ก่อนมาเป็นรัฐมนตรี ศักดิ์สยาม เคยประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชัน ก่อตั้งเมื่อปี 2539 และโรงโม่หิน บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2534 เข้ามาจดทะเบียนไม่นานก็เข้าสู่เส้นทางการเมือง และหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจไม่นาน ในปี 2558 ท่านก็กลับเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัท และมีการโอนหุ้นทั้งหมด 119 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นนิติกรรมอำพรางหุ้นของรัฐมนตรี และยังคงไว้ซึ่งหุ้นของรัฐมนตรี เพราะไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีหลักฐานการเงินมาแสดง ไม่พบการชำระเงิน หรือพบว่ามีหนี้สิน อีกทั้งผู้ที่โอนหุ้นก็เคยเป็นลูกจ้างของ บจก.ศิลาชัยฯ
ด้วยข้อหาดังกล่าว เข้ากับมาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญ คือความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากรัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นส่วนในบริษัท ตามจำนวนที่กฏหมายบัญญัติ ซึ่งในหลักฐานก็เห็นได้ว่าเกินจำนวน อีกทั้งยังเอาบริษัทที่ตนถือหุ้นมาทำสัญญากับรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของรัฐมนตรี จะเห็นได้ว่า หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชัน ได้งานประมูลต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562-2565 มูลค่า 2.218 พันล้านบาท และน่าเชื่อได้ว่ามีการฮั้วประมูลงาน หรือไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการอภิปราย ได้มี ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทยหลายคน เช่น ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุว่าผู้อภิปรายทำผิดข้อบังคับ 69 ที่อภิปรายเนื้อหาวนเวียนซ้ำซาก เป็นประเด็นเดิมจากการอภิปรายครั้งเก่า และยังซ้ำกับผู้อภิปรายท่านอื่นในวันนี้ โดยที่ประธานฯ ได้เตือนไปแล้วหลายครั้ง ตนเห็นว่าน่าเบื่อแล้ว
ขณะที่ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ประท้วงให้ประธานฯ มีความเป็นกลาง เพราะแม้จะทราบดีว่า ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น สังกัดพรรคภูมิใจไทย แต่ควรให้เกียรติผู้อภิปราย แม้ประเด็นจะซ้ำไปบ้าง แต่รัฐมนตรีก็สามารถชี้แจงทีหลังได้ เพราะถึงอภิปรายซ้ำ 3 รอบ แล้ว ระบบราชการก็ยังไม่ขยับไปไหน จึงต้องอภิปรายซ้ำต่อไป
ศุภชัย โพธิ์สุ ยืนยันว่า ตนไม่สามารถลาออกจากพรรคภูมิใจไทยได้ แต่เมื่อตนปฏิบัติหน้าที่ ตนไม่มีพรรค เวลา 3 ปีที่ผ่านมาก็สามารถพิสูจน์ความเป็นกลางของตนได้ แต่ก็ต้องขอเตือนไปยัง ทวี อีกครั้งว่า ประเด็นใดที่ซ้ำแล้วก็ขอให้รวบรัดผ่านไป
‘พัฒนา’ ข้องใจงบกรมทางหลวง-ทางหลวงชนบท กระจุกตัว จ.บุรีรัมย์
ขณะที่ พัฒนา สัพโส ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปราย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยระบุว่า ตนสามารถทำนายได้เลยว่า ศักดิ์สยาม กำลังคิดจะทำอะไรในอนาคต เมื่อดูจากงบประมาณรายจ่ายปี 2566 จะเห็นได้ว่า จ.บุรีรัมย์ มีการจัดสรรงบประมาณกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) รวมกันประมาณ 5.4 แสนล้านบาท มากกว่าจังหวัดอื่นหลายเท่า
เมื่อพิจารณาทางหลวงหมายเลข 24 ได้รับงบประมาณ 200 กว่าล้านบาท รวม 12 ตอนในสายเดียว ส่อเป็นเจตนาแบ่งซื้อแบ่งจ้าง หรือไม่ต้องการให้สำนักก่อสร้างไปประกวดราคาที่กรมทางหลวง เหตุใดจึงทางหลวงสายเดียวจึงต้องแบ่งสัญญาถึง 12 สัญญา ตนดีใจที่คน จ.บุรีรัมย์ ที่ได้งบประมาณเยอะ แต่ตนเสียใจที่เป็นคนไทย ไม่ใช่คนบุรีรัมย์ เช่นเดียวกับทางหลวงหมายเลข 348 ซึ่งมี 8 ตอน มูลค่า 209 ล้านกว่าบาท และทางหลวงหมายเลข 2445 รวม 7 ตอน 265 ล้านบาท รวมถึงอีกหลายเส้นถนน ซึ่งเป็นการแบ่งเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้กรรมาธิการจับได้ ไม่ให้มาอยู่ในกิจกรรมเดียวกัน
พัฒนา ระบุว่า ไม่ต่างจากกรมทางหลวงชนบท ที่ได้งยประมาณมากถึง 240 กว่าล้านบาท โดยเมื่อดูจากโครงการพัฒนาทางและสะพานโครงข่ายทางหลวงชนบทสนับสนุนด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จ.บุรีรัมย์ รวม 18 สายทาง 498 ล้านกว่าบาท ซึ่งสวนทางกับจังหวัดอื่น และย้อนแย้งกับจำนวนภาษีที่จังหวัดดังกล่าวจัดเก็บได้
“พรุ่งนี้ถ้าญาติพี่น้องผมเป็นอธิบดีกรมทางหลวงชนบท ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผมจะบอกให้ไปยื่นใบลาออก อายเขา” พัฒนา กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับ ทางหลวงหมายเลข 2218 จ.สกลนคร ซึ่งมีประวัติอุบัติเหตุหลาย 100 ครั้ง แต่กลับไม่ได้งบประมาณค่ารักษาความปลอดภัยมากเหมือนกับ จ.บุรีรัมย์ ถือว่าชัดเจนมากว่ามีการสมคบคิดเอื้อประโยชน์กันและกันระหว่าง กรมทางหลวง สำนักงบประมาณ และกระทรวงคมนาคม ซึ่งถือว่าขัดต่อจริยธรรมตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง แต่ตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงไม่กล้าว่าอะไรท่าน เพราะอย่างที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าเป็นนั่งร้านชั้นดีให้แก่ท่าน แม้หลักฐานจะชัดเจนเพียงใดท่านก็ไม่กล้า
“ผมคาดหวังเพื่อนสมาชิก ข้อมูลหลักฐานชัดเจนอย่างนี้ เพื่อนสมาชิกฯ ต้องแสดงสำนึกความเป็นผู้แทนราษฎรของปวงชนชาวไทย ด้วยการยกมือไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผมจะรอดูวันเสาร์” พัฒนา กล่าว
‘มงคลกิตติ์’ อัด ‘ศักดิ์สยาม’ รุกเขากระโดง เจอประท้วงอ่วม เหตุประเด็นซ้ำซาก
จากนั้น มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวว่า จงใจ ขายชาติ บังหลวง ช่วยพวกพ้องเพื่อพยุงอำนาจ ข้อกล่าวหาสั้นๆ สำหรับคณะรัฐมนตรี
นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2565 กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีการเตรียมเงื่อนไข ให้ชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และมีศักยภาพสามารถลงทุนคนละ 40 ล้านอย่างน้อย 3 ปี สามารถซื้อที่ดินอยู่ได้ประมาณ 1 ไร่ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชาวต่างชาติที่มีฐานะดี ได้มีโอกาสซื้อที่ดิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการเสนอต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อให่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สะดวกง่ายขึ้น
ถ้าเป็นรัฐบาลอื่นคงบอกว่าขายชาติ ถ้าเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ได้ขายชาติ แต่ช่วยเหลือประเทศชาติใช่หรือไม่ ถ้าเป็นแบบนี้ ประเทศไทยคงไม่ต้องมีอาณาเขตไม่มีเขตแดน ไม่ต้องมีทหารคุมชายแดน ทหารอากาศไม่ต้องมี F-35 ทหารบกคงต้องไม่มีเรดาร์คุมชายแดน เพราะที่ดินซื้อขายได้โดยสะดวก
มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ในรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ร่วมกันบังหลวงที่ดินเขากระโดงกว่า 5,083 ไร่ จากกรมรถไฟฯ ไปเป็นของตนและพวกพ้อง โดยมีการเปรียบเทียบคดีการรุกป่าของ ‘สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่การดำเนินการของนิพนธ์ บุญาณมณี รมช.มหาดไทย นั้นรวดเร็ว แต่ในประเด็นของเขากะโดงนี้กลับล่าช้าเกินไป
นอกจากนี้ รังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้ประท้วง มงคลกิตติ์ เนื่องจากขัดข้อบังคับที่ 69 โดยมีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องที่ดินที่จ.บุรีรัมย์ ซึ่งยังไม่ีการพิสูจน์ว่าจะครบถ้วนอย่างไร การนำความเท็จที่ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการมากล่าวในสภาฯ นั่นถือว่าสร้างความเสียหายให้แก่บุคคล นอกจากซ้ำซ้อนแล้ว ยังสร้างความเท็จ
โดยประธานได้วินิจฉัยว่า จะเท็จหรือไม่ ผู้ที่ถูกอภิปรายจะตอบเอง ไม่ต้องมาตอบเอง เพราะฉะนั้นถ้าเท็จ รัฐมนตรีคงมาตอบโต้เอง ไม่ใช่หน้าที่ของสมาชิกสภาฯ
ขณะที่ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ประท้วงว่า เป็นการอภิปรายวนเวียนซ้ำซาก กับกรณีที่คนอื่นอภิปรายมาแล้วในสมัยการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องเดิม และมงคลกิตติ์ ไปลอกเขามา ข้อเท็จจริงมีอยู่จริงหรือไม่อย่างไร คนที่รับฟังอาจจะหลงเชื่อ กว่าที่รัฐมนตรีมาแก้ ก็เกิดความเสียหาย ตอนนั้นรัฐมนตรีไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย
นอกจากนี้ คารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ประท้วงตามข้อบังคับที่ 69 ว่า ถ้าพูดเพียงแค่ฟ้องศาล หรือยกคำพิพากษาของศาลมาอ้างอิงฟังได้ หรือเป็นเรื่องอื่น แต่ฟังคำอภิปรายเป็นการก้าวล่วงศาล ไม่เกี่ยวกับสภาฯ นี้ เป็นการใช้สิทธิ์พาดพิงองค์กร ประธานสภาฯ ต้องบอกให้ยุติ และเตือน เพราะถ้าคิดว่ารัฐมนตรีคนดังกล่าวต้องรับผิดชอบก็ส่งปปช.ต่อไป ประเด็นนี้ใช้สิทธิ์พูดไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการหารือกันในที่ประชุมสภาฯ และได้มีการตกลงกันว่าจะทำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุชาติ ชมกล่ิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแทน ส่วน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั้นค่อยดำเนินการอภิปรายต่อพรุ่งนี้