พร้อมโยงถึง “เสธ.ต.” ที่เป็นแกนหลักครั้งนี้ โดย พล.อ.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้สั่งการให้ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ทำการตรวจสอบทันที หลังพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป)แถลงข่าว
แม้ว่า พล.ท.เกรียงไกร จะระบุถึงผลสอบว่า ไม่มีอะไร ซึ่งในส่วนของ ปชป. ตนทราบข่าวว่าจะลงมาในพื้นที่ จ.ชุมพร ก็ยังไม่ได้ลงมา แต่อาจมีคนในพื้นที่ไปพูด ไปบอกอะไรอย่างไร ทางพรรคเขาก็ต้องออกมาปรามก่อน
ทว่ากลับมีรายงานข่าวว่า “นายทหาร” ที่ถูกพาดพิงคนดังกล่าว เป็นถึงระดับ “ผู้บังคับหน่วยทหารม้า” ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิด และได้รับความไว้วางใจจากอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 คนหนึ่ง ซึ่งอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 คนนั้น ในปัจจุบันมาช่วยงานรัฐบาลและบางพรรคการเมือง
หากไปเจาะลึก “เสธ.ต.” นั้นมีตัวตนจริง โดยเป็น “นายทหารผู้กว้างขวาง” ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ที่มีความใกล้ชิดนักการเมือง “บิ๊กเนม” ในพื้นที่ ถือเป็นระดับคีย์แมนภาคอีสานของบางพรรคการเมือง ที่เชื่อมโยงถึงระดับ “แกนนำ” ของบางพรรคการเมือง ที่กำลังเจาะพื้นที่ภาคใต้ในขณะนี้
แม้ว่ากองทัพในยุคนี้จะต่างไปจากอดีต หลังดุลอำนาจภายในกองทัพเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ภาพทหารถอยห่าง “การเมือง” มาก
รวมทั้งท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพ ชุดปัจจุบันที่ไม่ “ออกตัว” หรือ “ออกหน้า” หนุนรัฐบาลอย่างชัดเจน
อีกทั้งมี “ระยะห่าง” กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เนื่องจากรุ่นเตรียมทหารห่างกัน อีกทั้งไม่ได้เติบโตมาจากสาย “3ป.บูรพาพยัคฆ์” หรือจาก “บ้านป่ารอยต่อ” เฉกเช่นยุคก่อนหน้านี้ แต่ก็ใช้ว่าทหารจะไม่ยุ่งการเมือง 100 เปอร์เซนต์
เพราะพวกที่ได้ชื่อว่าเป็น “เสธ.” ทั้งในและนอกราชการ ยังคงมีบทบาทเป็น “มือไม้” ให้กับผู้มีอำนาจอยู่ เพราะสุดท้ายแล้วงานการเมืองต้องรบหลายมิติ ทั้ง “บนดิน-ใต้ดิน” เพื่อกุมชัยชนะให้ได้ ถือเป็นการปรับตัวของบรรดา “เสธ.” ในยุคนี้ทั้งในและนอกราชการ ที่เดินเส้นทาง “ผู้กว้างขวาง” น้อยลง ปรับตัวมาสู่ท่าที “สำรวม” มากขึ้น
แต่การระดมสรรพกำลังยังเข้มข้นเช่นเดิม เพราะมากด้วย “คอนเนคชั่น” ของแต่ละคน อีกทั้ง “ทหารมีสี-เสธ.ชื่อดัง” ในอดีต ก็ล้มหายกันไปเยอะแล้ว
อย่างไรก็ตามทุกก้าวย่างของ “ทหารในราชการ” ย่อมต้องระมัดระวังในยุคนี้ หลังมีการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” มาแล้วหลายกรณี เช่น กรณีล่าสุด “ทหารเรือ” เมากร่าง พูดจาพาดพิงเบื้องสูง เริ่มจากมีคำสั่งให้ น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี (ผู้อำนวยการกองอสังหาริมทรัพย์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ในขณะนั้น) เข้ารับการธำรงวินัย 14 วัน ณ ศูนย์ธำรงวินัยกองทัพเรือ พื้นที่ จ.ชลบุรี เมื่อ 26 ธ.ค. 2564
อีกทั้งได้เกิด “บรรทัดฐานใหม่” ขึ้นมาด้วย โดย พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. และ พล.ร.ท.นฤพล เกิดนาค ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ เข้ารับการธำรงวินัยเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ผบ.ทร. เป็นระยะเวลา 3 และ ผบ.ฐานทัพเรือสัตหีบ 7 วัน โดย ผบ.ทร. ได้ทำการ “โกนผม” สวมชุดสนาม เครื่องแบบนาวิกโยธิน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ตามลำดับชั้นยศ 2 ขั้น ในฐานะผู้บังคับบัญชา
ล่าสุดมีคำสั่งกระทรวงกลาโหมปลด น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ออกจากราชการ เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหาร ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. 2565
ตามมาด้วยศาลมณฑลทหารบกที่ 14 ได้ออกหมายจับ ระบุให้จับ น.อ.อลงกรณ์ ตามที่พนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ได้ยื่นคำร้อง 4 ข้อหา โดยระบุว่า ได้กระทำความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ , ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย , ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย, หมิ่นประมาท
ทั้งนี้ต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการ “ถอดยศ” ตามระเบียบหรือไม่ หลังถูกปลดออกจากราชการทหาร ฐานกระทำผิดวินัยทหารฐานประพฤติชั่วร้ายแรง
ถือเป็น “วิบากกรรม” ที่ น.อ.อลงกรณ์ ต้องเผชิญจากผลการกระทำของตัวเอง เพราะทหารยุคนี้จะต้อง “เป๊ะ” ทุกระเบียบนิ้ว
รวมทั้ง “มหากาพย์” ของ “เสธ.ต.” จะจบอย่างไร หลัง ทบ. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ จะปล่อยให้เรื่องเงียบไปหรือได้บทสรุปเช่นที่แม่ทัพภาคที่ 4 ระบุว่า “ไม่มีอะไร” (ในกอไผ่) และถือเป็นบทพิสูจน์ ผบ.เหล่าทัพ ในการจัดระเบียบกองทัพไม่ให้ทำพฤติกรรมเสื่อมเสียและยุ่งเกี่ยวการเมือง เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ชุดปัจจุบันได้ชื่อ “น้ำนิ่งไหลลึก” ทุกคน
ยุคนี้ “ทหาร” ใหญ่แค่ไหน ก็ไม่รอด !!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง