ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' ห่วง 'ประยุทธ์' ถูกวางยาให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจที่กำลังแย่ เผย 8 ข้อที่ 'สมคิด' พูดในสภา ไม่ตรงกับความจริง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ "วิพากษ์ & เสนอแนะ นโยบายรัฐบาลประยุทธ์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และการป้องกันผลกระทบจากสงครามการค้าโลก ทำได้จริงหรือภาพลวงตา" จัดโดย สภาที่ 3 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ว่า รู้สึกเป็นห่วงเศรษฐกิจของไทยในปีนี้อย่างมาก เพราะสัญญาณเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังแย่ถึงแย่มาก การขยายตัวในไตรมาสที่สองที่จะประกาศกลางเดือนนี้ (ส.ค.) น่าจะออกมาแย่มากพอๆ กับไตรมาสแรก 

แต่ที่น่าตกใจและประหลาดใจอย่างมาก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งแสดงความไม่รู้เรื่องทางเศรษฐกิจในการอภิปรายนโยบาย กลับรับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หลังจากที่เป็นนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่ากกรระทรวงกลาโหม ดูแลตำรวจ และดีเอสไอแล้ว ยังปล่อยให้เกิดระเบิดในกรุงเทพฯ 5 แห่งในเวลาใกล้กันได้ และยังจะเข้าไปดูแลเศรษฐกิจที่ไม่ถนัดอีก จะยิ่งทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปีนี้ทำให้สงสัยว่าเศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร ทั้งนี้เชื่อว่าการที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทนตัวเอง มีเหตุผล 2 ประการ ดังนี้

  • หนึ่ง นายสมคิดน่าจะทราบดีว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อย่างไรก็ย่ำแย่ การตั้งพล.อ.ประยุทธ์เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในปีนี้ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ และเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ล้มเหลวก็ต้องขอร้องนายสมคิดให้กลับมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทนตน 
  • สอง นายสมคิดทราบดีว่าไม่สามารถคุม รองนายกฯ และ รมต.เศรษฐกิจ จากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นได้ ขนาดช่วง 5 ปีที่คุมได้หมดยังทำเศรษฐกิจล้มเหลว แต่นี่คุมไม่ได้เลยจะยิ่งล้มเหลวเข้าไปใหญ่ จึงอาศัยพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาช่วยคุมและสั่งการ รมต. ต่างพรรคแทน แต่ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่เข้าใจว่าต้องสั่งอะไร สั่งอย่างไร เพื่อให้เกิดผลในภาพรวมเช่นไร ในที่สุดแล้ว ก็จะล้มเหลวอย่างหนัก และต้องรับผิดชอบเต็มๆ เพราะเศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวยและเศรษฐกิจไทยก็แย่มาตลอด 5 ปีเป็นทุนเดิม ต่างกับที่นายอุตตมพูด 

นอกจากนี้ การที่นายสมคิดอภิปรายในสภาซึ่งฟังแล้วเหมือนจะดี คล้ายว่าความผิดพลาดล้มเหลวทั้งหมดในปัจจุบันเกิดจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทำมา 5 ปีแล้ว แต่ไม่มีผลงานอะไร และ พูดเหมือนว่าได้วางรากฐานไว้แล้วทั้งๆ ที่ไม่ได้สร้างรากฐานอะไรไว้เลย เอาเรื่องที่ยังไม่เกิดมาเป็นผลงาน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นความล้มเหลวทั้งหมด จึงอยากให้ข้อคิด 8 ประเด็นดังนี้

1. การที่นายสมคิดบอกว่าสามารถทำเศรษฐกิจของประเทศเติบโต มาทุกปี จากร้อยละ 1 มา ร้อยละ 3 มาร้อยละ 3.3 มาร้อยละ 3.8 จนมาร้อยละ 4 แต่ ปีนี้จะทรุดอีก ซึ่งใช้เวลาถึง 5 ปี ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพมาก และเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุดในอาเซียนมาตลอด เหมือนอยู่ในภาวะกบต้ม

แต่นายสมคิดกลับกล้านำมาเป็นผลงาน ความจริงคือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องฟื้นแบบก้าวกระโดดเช่น ในปี 2554 ที่เศรษฐกิจโตเพียงร้อยละ 0.1 เพราะน้ำท่วมใหญ่ แต่พอปี 2555 กลับโตได้ถึงร้อยละ 7.2 เป็นต้น หรือในสมัย รัฐบาลอภิสิทธิ์ช่วงวิกฤตการณ์แฮมเบอเกอร์เศรษฐกิจติดลบร้อยละ 2.3 แต่อีกปีถัดมาก็โตได้ร้อยละ 7.5 ไม่ได้โตแบบซึมๆ เหมือน 5 ปีที่ผ่านมา และยังกล้านำมาพูดได้อีก

2. ตามที่นายสมคิดได้โทษรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทำเศรษฐกิจไทยปี 2556 โตได้เพียงร้อยละ 2.9 ปี 2557 โตร้อยละ 1 ในไตรมาสแรกปี 2558 ติดลบร้อยละ 4 แต่นายสมคิดไม่ได้บอกว่าสาเหตุหลักของเศรษฐกิจตกต่ำมาจากการประท้วงปิดเมืองของของ กปปส. ซึ่งนำมาสู่การปฏิวัติ จึงทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เพราะถ้าไม่ประท้วงเศรษฐกิจจากปี 2555 ที่โตได้ถึงร้อยละ 7.2 จะส่งโมเมนตัมให้ปี 2556 โตได้ร้อยละ 4 และ ปีต่อๆ มาน่าจะโตได้ร้อยละ 4-5 เป็นอย่างต่ำ ไม่ใช่ร้อยละ 2-3 เหมือน 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากโยงไปถึงการอภิปรายในสภาที่เผยว่ามีการเตรียมการกันมา 3 ปีแล้ว อีกทั้ง แกนนำ กปปส. ก็ได้เป็นรัฐมนตรีกันหลายคน ใน ครม. นี้ ก็คงน่าจะพอบอกได้ว่าใครควรรับผิดชอบกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำในช่วงนั้น

3. นายสมคิดอ้างว่าการส่งออกไทยตกต่ำมาตลอด เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี ซึ่งไม่จริง ตอนเศรษฐกิจโลกดีเศรษฐกิจไทยก็ไม่ดี ขยายตัวต่ำมาตลอด ส่งออกย่ำแย่มาตลอด ในขณะที่ประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะเวียดนามกลับขยายการส่งออกได้มากมาตลอด ซึ่งขึ้นกับการบริหารของรัฐบาลมากกว่า 5 ปี ส่งออกไทยโตเฉลี่ยเพียงปีละร้อยละ 2 กว่าเท่านั้น

4. นายสมคิดอ้างว่านักลงทุนไทยไม่ลงทุนเพราะความเสี่ยงทางการเมือง ความจริงคือไม่เฉพาะแต่นักลงทุนไทยเท่านั้น นักลงทุนต่างประเทศไม่มาลงทุน สิ่งที่นายสมคิดไม่พูดถึงคือ ความเสี่ยงทางการเมืองนี้เกิดมาจากการทำปฏิวัติรัฐประหารใช่หรือไม่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่การแข่งขันของไทยลดต่ำลงตามการประเมินของ WEF ซึ่งการปฏิวัตินี้ใครเป็นคนทำ นอกจากนี้ การลงทุนใน EEC ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากไม่ได้มากจริงอย่างที่โม้ อยากให้นายสมคิดได้เปิดเผยตัวเลขการลงทุนที่แท้จริงในแต่ละปีทั้งหมด

5. การที่นายสมคิดพูดเหมือนดูถูกคนจนว่าคนจนเห็นอะไรก็คว้าแล้ว เพราะคิดแบบนี้ใช่หรือไม่ ถึงตลอด 5 ปี รัฐบาลถึงทำให้ประชาชนลำบากและยากจนอย่างมากและเพิ่งมาแจกเงินผ่านบัตรคนจนก่อนเลือกตั้งไม่นาน เพื่อหวังให้ประชาชนเลือกพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อีกทั้งต้องการทำให้คนจนมากๆ เพื่อให้สามารถซื้อเสียงได้ใช่หรือไม่ เพราะสมัยเศรษฐกิจดีงานวิจัยบอกว่าซื้อเสียงไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง

6. การที่นายสมคิดอ้างว่าไม่ได้ช่วยคนรวยเพราะคนรวย เขารวยอยู่แล้ว แต่ความจริงคือตลอด 5 ปีนี้ คนรวยของไทยรวยขึ้นไปอีกคนละหลายแสนล้าน จากการรายงานของนิตยสารฟอร์บส์ ในขณะที่คนจนจนลงมาก จนทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ของความเหลื่อมล้ำ นายสมคิดจะอธิบายได้อย่างไร 

7. การที่นายสมคิดอ้างว่าต่างประเทศจัดอันดับไทยดีขึ้น ก็อยากให้นายสมคิดได้ดูว่าอันดับที่ดีขึ้นนั้นดีกว่าสมัยก่อนการปฏิวัติหรือไม่ เช่น อันดับความสะดวกที่คุยนักคุยหนาว่าดีขึ้นอยู่ที่ 27 แต่ก่อนปฏิวัติอยู่ที่ 18 เป็นต้น อีกทั้ง อยากให้พูดถึงหลายองค์กรหลักต่างประเทศที่จัดอันดับไทยแย่ลงด้วย และ หลายสื่อหลักต่างประเทศที่วิจารณ์ไทยอย่างหนักด้วย เช่น วิจารณ์ไทยย้อนหลัง 30 ปี และ บอกไทยเป็นคนป่วยของอาเซียนและจะป่วยหนัก

8. ที่นายสมคิด บอกว่าที่ประเทศมีปัญหาเพราะเอาชนะกันมากไป ต้องถามว่าใครเอาชนะมากไป ตลอด 10 กว่าปีนี้ ใครทำทุกวิถีทางที่จะชนะ ทั้งปฏิวัติ และ ทั้งร่างรัฐธรรมนูญแปลกประหลาดที่ใช้กันอยู่ ขนาดดิ อิโคนอมิสต์ ยังบอกพล.อ.ประยุทธ์บิดทุกกฎหมายเพื่อสืบทอดอำนาจ และที่สำคัญคืออยากถามนายสมคิดว่า ตามข้อมูลที่ได้รับมา จริงหรือไม่ที่นายสมคิดเป็นคนไปบอก พล.อ.ประยุทธ์ให้เรียกนายพิชัย ไปกักตัว 7 วันในปี 2558 เพราะห่วงว่านายพิชัยจะพูดความจริง ทางเศรษฐกิจะทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือนายสมคิด ถ้าเป็นจริง ก็อยากถามว่าใครกันแน่ที่เอาชนะมากเกินไป โดยไม่ดูความเสียหายของประเทศ

อย่างไรก็ตามข้างต้นนี้เป็นแค่บางเรื่องเท่านั้น หากจะเอาทุกเรื่องที่พูดไม่หมด หรืออาจจะไม่ตรงความจริงยังมีอีกมาก ดังนั้นจึงอยากให้นายสมคิดได้พูดให้ครบ และอยากให้ประชาชนได้พิจารณาทุกด้านอย่างเชื่อแค่ลีลาและท่าทางการพูดโดยไม่พิจารณาความจริงว่าเศรษฐกิจไทยล้มเหลวมา 5 ปี และยังไม่มีทิศทางที่จะดีขึ้นได้อย่างไร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :