วันนี้(13ก.ค.63) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้าตรวจเยี่ยมและมอบยโยบายให้กับธนาคารออมสิน โดยได้มอบหมาย 2ภารกิจหลัก คือ ให้ธนาคารออมสิน เร่งช่วยเหลือธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เช่น พ่อค้า แม่ค้า รวมไปถึงหาบเร่ ทั้งการขยายสินเชื่อ และวงเงินให้เพียงพอ เพื่อป้องกันคนกลุ่มนี้เข้าไปพึ่งหนี้นอกระบบ เนื่องจากขณะนี้ตามข้อมูลระบุว่า มีอยู่กว่า 300,000 – 400,000 ล้านบาท ซึ่งมีภาระดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 24-28 ต่อปี ซึ่งออมสินต้องพิจารณาการขยายการพักหนี้ และจัดเตรียมสินเชื่อสำหรับคนตัวเล็ก โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้อง และจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ทิศทางอนาคตของธนาคตออมสิน จะต้อมมีการปรับโครงสร้างใหม่ ไม่ใช่เป็นสถาบันการเงินเพื่อรับเงินฝากเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องเป็นธนาคารแห่งการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เนื่องจากในยุคหลังโควิด-19 จะมีผู้ประกอบการใหม่ต้องการทำธุรกิจมากขึ้นด้วย
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯได้เตรียมออกสินเชื่อรอบใหม่ รวมวงเงิน 120,000 ล้านบาท โดย 100,000 ล้านบาท จะเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน ให้แก่ ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ ทั้ง โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร แต่ยังไม่ได้รวมผู้ประกอบการในธุรกิจสายการบิน ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องได้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกัน เพื่อลดภาระให้ผู้ประกอบการ โดยจะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับธนาคารพาณิชย์อัตราดอกเบี้ยร้อยละ0.1 และให้ธนาคารพาณิช์ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 นอกจากนี้ธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเองด้วย โดยเงื่อนไขวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย
ส่วนวงเงินอีก 20,000 ล้านบาท จะแบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนในหลายส่วน เช่น การขยายสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 หรือเงินกู้ฉุกเฉิน วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท แบบผ่อนปรนเงื่อนไข โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ประกันและไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน จากเดิมที่จะต้องมีบุคคลค้ำประกัน โดยคาดว่าจะสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติได้ในสัปดาห์หน้า
ส่วนความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน แก่สถาบันการเงิน นอนแบงก์ ตลอดจนผู้ประกอบกรเอสเอ็มอีของธนาคารออมสิน วงเงิน 150,000 ล้านบาท ล่าสุดธนาคารฯได้อนุมัติวงเงินไปแล้วรวม 120,000 ล้านบาท โดยในส่วนที่เหลือจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด