มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมาในช่วงปลายปี เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ผ่าน 'คนละครึ่ง' และ 'ช้อปดีมีคืน' ได้เริ่มต้นใช้สิทธิไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่ตามเงื่อนไขมีข้อกำหนดว่าประชาชนสามารถเลือกเข้าร่วมได้เพียง 1 มาตรการเท่านั้น แล้วแบบไหนได้ประโยชน์มากกว่ากัน 'วอยซ์ออนไลน์' สรุปให้ดังนี้
‘คนละครึ่ง’ รัฐจ่ายให้สูงสุด 3,000 บาท แต่จำกัดวันละ 150 บาท
'คนละครึ่ง' มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย เปิดให้ลงทะเบียนในส่วนของร้านค้าตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา ส่วนประชาชนเริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2563 โดยมีเป้าหมายที่ 10 ล้านคน
เงื่อนไขการใช้สิทธิ คือ
'ช้อปดีมีคืน' จ่าย 3 หมื่นบาท ได้คืนแค่ 1,500 บาท หากฐานภาษีแค่ 5%
'ช้อปดีมีคืน' เป็นรายการลดหย่อนภาษี ไม่ไช่ ลดภาษี ดังนั้นก่อนที่จะใช้ต้องตรวจสอบก่อนว่า เสียภาษีหรือไม่ เสียในอัตราเท่าใด และจะประหยัดภาษีได้จำนวนเท่าไหร่
ยกตัวอย่างบุคคลที่มีฐานการเสียภาษีอยู่ที่ 5% หรือมีรายได้ 150,001-300,000 บาท หากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มจำนวนที่ 30,000 บาทจะประหยัดภาษีได้เพียง 1,500 บาท ส่วนบุคคลที่มีฐานการเสียภาษีที่ 10% หรือมีรายได้ 300,001-500,000 บาท ใช้สิทธิเต็มจำนวนจะประหยัดภาษีได้ 3,000 บาท แต่ในขณะที่บุคคลที่มีฐานการเสียภาษีอยู่ที่ 35% หรือมีรายได้สุทธิต่อปีอยู่ที่ 5,000,001 ขึ้นไป หากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มจำนวนที่ 30,000 บาทจะประหยัดภาษีได้ถึง 10,500 บาท
เงื่อนไขการใช้สิทธิ คือ
'คนละครึ่ง' เหมาะกับผู้มีฐานภาษีต่ำ ส่วน 'ช้อปดีมีคืน' เหมาะกับผู้มีฐานภาษีสูง
เมื่อเทียบทั้ง 2 มาตรการจะพบว่า ‘คนละครึ่ง’ เหมาะกับผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี เพราะหากใช้สิทธิที่เป็นเงินส่วนตัวร่วมจ่าย 3,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือถึง 3,000 บาทเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในขณะที่ ‘ช้อปดีมีคืน’ เหมาะกับผู้ที่มีรายได้อยู่ในเกณฑ์เสียภาษี ยกตัวอย่างอัตราภาษีที่ 10% หากอยากได้รับเงินคืน 3,000 จะต้องจ่ายเงินส่วนตัวซื้อสินค้าถึง 30,000 บาท ดังนั้นจึงอาจจะไม่คุ้มค่าหากซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น
ร้านค้าเมิน ‘คนละครึ่ง’ พึ่งไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตามเป้าหมายลงทะเบียนของประชาชน 10 ล้านคนจะพึ่งเต็มสิทธิไปหมาดๆ แต่ในส่วนของร้านค้าทั้งประเทศ ได้มีการลงทะเบียนเพียง 3.8 แสนร้านค้า ยังมีร้านค้ารายย่อยอีกจำนวนมาก ไม่สนใจ หรือยังไม่มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนร่วมสิทธิเพราะไม่มีร้านที่จะใช้ โดยตั้งแต่เริ่มต้นโครงการพบว่ามีการใช้จ่ายเพียง 100 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น ในขณะที่เป้าหมายของรัฐบาลอยากให้มีเงินหมุนเวียนเข้าระบบเศรษฐกิจถึง 60,000 ล้านบาท จากเงินส่วนของประชาชน 30,000 ล้านบาท เงินงบประมาณ 30,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต้องมากกว่า 434 ล้านบาทต่อวัน
ดังนั้นจะเห็นว่าชุดมาตรการนี้มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง ‘คนละครึ่ง’ กลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์ หรือคุ้มค่าที่สุด คือ ผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี และร้านค้ารายย่อย ขณะที่ ‘ช้อปดีมีคืน’ กลุ่มคนจะได้ประโยชน์ หรือคุ้มค่าที่สุด คือ ผู้ที่มีฐานภาษีสูง เหมาะกับผู้มีแผนซื้อสินค้าราคาสูงช่วงปลายปี
ส่วนผู้ที่มีฐานภาษีน้อย อาจต้องพิจารณาด้วยว่า สินค้าที่จะซื้อนั้นมีความจำเป็นหรือไม่ เพราะหากต้องซื้อของมูลค่า 30,000 บาท เพื่อแลกกับส่วนลดเพียงแค่ 1,500 บาท อาจไม่คุ้มค่า และอาจจะเป็นการก่อหนี้เพิ่มโดยใช่เหตุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: