สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการ พร้อมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 18 ม.ค.2563 เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสีจิ้นผิงระบุด้วยว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ และจีนพร้อมจะสนับสนุนเมียนมาในขณะที่ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์อันเหลื่อมล้ำและอยุติธรรมกับบางประเทศ
แม้ประธานาธิบดีจีนจะไม่ได้ระบุชื่อประเทศใดๆ แต่เอเอฟพีรายงานว่าเป็นการพาดพิงความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังจากสหรัฐฯ วิจารณ์เมียนมาอย่างหนัก หลังเกิดวิกฤตความขัดแย้งในรัฐยะไข่ ซึ่งกองทัพเมียนมาได้นำกำลังเข้าจับกุม คุกคาม และผลักดันให้ชาวโรฮิงญากว่า 700,000 คนต้องอพยพลี้ภัยนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา นำไปสู่การตั้งข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลเมียนมาในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่าเกี่ยวพันกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา และสหรัฐฯ ยังห้ามพลเอกอาวุโสมินอ่องหล่ายง์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา เดินทางเข้าประเทศอีกด้วย
ทางด้าน อองซาน ซูจี มุขมนตรีแห่งรัฐของเมียนมา ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และหัวหน้าพรรครัฐบาลเอ็นแอลดี กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหมายถึงจีน โดยระบุว่า ทั้งสองประเทศ "ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการเคียงข้างกันไปจนวันสิ้นโลก" และมีรายงานว่ารัฐบาลพลเรือนของซูจี อาจจะพิจารณารื้อฟื้นโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ 'มิตโสน' ในรัฐกะฉิ่นอีกครั้ง
เขื่อนมิตโสนเป็นโครงการลงทุนของจีนในเมียนมา มูลค่ากว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อผลิตไฟฟ้าประมาณ 6,000 เมกะวัตต์ ซึ่งสีจิ้นผิงเป็นตัวแทนรัฐบาลจีนลงนามในการก่อสร้างโครงการนี้ตั้งแต่ปี 2009 ในขณะที่เขายังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี แต่อดีตประธานาธิบดีเต็งเส่ง ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา สั่งระงับโครงการไปเมื่อปี 2011 ก่อนเมียนมาจะจัดการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ จนได้รัฐบาลพลเรือนมาปกครองประเทศ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต่อต้านการสร้างเขื่อนมิตโสนประกาศว่า จะรวมตัวกันเดินขบวนต่อต้านในนครย่างกุ้ง หากรัฐบาลเมียนมาอนุมัติให้โครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อในยุคนี้
ส่วน The Washington Post รายงานว่า การรุกคืบของจีนเพื่อสนับสนุนอุ้มชูประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งถูกกดดันจากประเทศตะวันตกในประเด็นสิทธิมนุษยชนและอื่นๆ "ไม่ใช่เรื่องใหม่" เพราะในตอนที่รัฐบาลทหารพม่าปกครองประเทศ จีนก็ให้ความสนับสนุนด้านต่างๆ มาตลอด จนกระทั่งรัฐบาลทหารหันไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
เมื่อรัฐบาลปัจจุบันของเมียนมาถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และประเทศแถบยุโรปกรณีโรฮิงญา ก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดาที่จีนจะเข้ามารื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเมียนมาอีกครั้ง และเมียนมาก็ต้องการความสนับสนุนจากจีน ซึ่งเป็นทั้งชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และเป็นประเทศสมาชิกถาวรสหประชาชาติที่มีสิทธิออกเสียงคัดค้านในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ได้ด้วย
การเดินทางเยือนเมียนมาของสีจิ้นผิงครั้งนี้ถูกรายงานผ่านสื่อทั้งสองประเทศว่าเป็นภารกิจที่ลุล่วงด้วยดี แต่ The Independent สื่อของอังกฤษ รายงานว่า ระบบแปลภาษาของเฟซบุ๊ก แปลข้อความภาษาพม่าที่รัฐบาลเมียนมาเผยแพร่ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กที่เป็นทางการ พบว่าชื่อของ 'สีจิ้นผิง' ที่พิมพ์ในภาษาพม่า ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยใช้คำว่า Shithole หรือรูทวาร
ผู้ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้คือ 'พ็อพพี แม็กเฟอร์สัน' หัวหน้าฝ่ายข่าวประจำประเทศเมียนมาของสำนักข่าวรอยเตอร์ส และเฟซบุ๊กแถลงขอโทษที่ระบบแปลภาษาของเฟซบุ๊กแปลชื่อสีจิ้นผิงเป็นคำดังกล่าวในภาษาอังกฤษ คาดว่าเป็นเพราะระบบแปลภาษาของเฟซบุ๊กอาศัยข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ผสมกับระบบประมวลผล และแก้ไขคำผิดโดยอัตโนมัติ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะแปลผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: