สถาบันเพื่อการปฎิรูปกระบวนการยุติธรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา และ กลุ่ม Police Watch Thailand จัดเสวนาข้อหัว “นโยบายพรรคการเมืองต่อการปฏิรูปตำรวจและงานสอบสวน” โดยมีตัวแทนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ อาทิ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคอนาคตใหม่ และ นักวิชาการ ร่วมแสดงทัศนคติเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
ซึ่งในงานเสวนามีการแสดงทัศนคติเกี่ยวกับการกระจายอำนาจของตำรวจเป็นตำรวจจังหวัด โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ รวมถึงการแยกงานสอบสวนออกจากตำรวจ สร้างความชำนาญเฉพาะทางและมีระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ กำหนดให้มีการบันทึกภาพและเสียงระหว่างสอบปากคำพยานหรือผู้ต้องหา
อีกทั้งยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการสร้างระบบตรวจสอบการสอบสวนจากภายนอกโดยพนักงานอัยการและฝ่ายปกครองในคดีสำคัญหรือเมื่อมีการร้องเรียนตามหลักสากล เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานเพียงหน่วยงานเดียว และ จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐาน อีกทั้งการออกหมายเรียก หรือ หมายจับผู้ต้องหาก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการ รวมถึงการโอนตำรวจเฉพาะทาง 11 หน่วย และ งานสอบสวนให้กับกระทรวงทบวงกรมตามมติสภาปฏิรูปแห่งชาติ และ การจัดตังศาลจราจร เพื่อให้การเปรียบเทียบปรับคดีจราจรเป็นอำนาจของศาลเช่นเดียวกับต่างประเทศ
เพื่อไทย หนุนแยกงานสอบสวนจาก สตช.
พล.ต.ต.มณเฑียร ประทีปะวณิช ตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่างช่วงหนึ่งว่า มีความเห็นด้วยให้มีการแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากปัจจุบันพนักงานสอบสวนมีภาระมากเกินไป อีกทั้งผู้บังคับบัญชาระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่มีความเข้าใจด้านงานสอบสวน ทำให้การบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ และ ตัวพนักงานสอบสวนในปัจจุบันก็ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเท่าที่ควร
สังเกตุจากเวลาเกิดเหตุพนักงานสอบสวน ไม่ค่อยลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง ซึ่งการลงพื้นที่ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในงานสอบสวน เพราะจะทำให้มีความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนการออกหมายเรียกหรือหมายจับที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากอัยการนั้น ไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากการออกหมายเรียกผู้ต้องหาก็จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และหมายจับก็สามารถจับกุมตัวฝากขังได้ทันทีไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด
'ปชป.' แนะยกระดับ 'ผู้บังคับบัญชาภาค' จัดการงบประมาณเองได้
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า ไม่เห็นด้วยกับการแยกตำรวจไปอยู่ในการดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด แต่เห็นควรให้ยกระดับผู้บัญชาการภาคเป็นอธิบดีภาค สามารถบริหารจัดการงบประมาณได้เอง มีอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจสังกัดไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้แต่งตั้งอธิบดีภาค และ มีผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดีศาล เป็นคณะกรรมการการแต่งตั้ง ซึ่งหากมีการยกระดับดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้การทำงานของตำรวจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีอำนาจในการสั่งการเต็มที่ ไม่จำเป็นจะต้องขอให้หน่วยงานส่วนกลางเข้าไปช่วยเหลือ อีกทั้งยังเห็นด้วยกับการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับการทำงานของตำรวจ โดยเฉพาะการติดกล้องวงจรปิดระหว่างสอบปากคำผู้ต้องหา เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสำนวนคดีความ