ใครจะคิดว่าเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ที่อยู่ในหนัง ในการ์ตูน จะสามารถมารวมกับ ลิเก ศิลปะพื้นบ้านของไทยได้ ความคิดนี้ เกิดจากความรักความชอบ ของ ธเนศพิพัฒ สุทธิหิรัญดำรงค์ หรือ แน๊ค คอมเมเดี้ยน จาก คณะลิเก 2 เทพบุตรสุดที่รัก ที่ชื่นชอบการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ ไม่ว่าจะเป็น แบทแมน สไปเดอร์แมน กัปตันอเมริกา ที่ลองดีไซน์ชุดลิเกให้แตกต่างไปจากเดิม ด้วยนำมาประยุกต์เป็นลวดลาย
แน๊ค เดอะคอมเมเดี้ยน เล่าให้ทีมข่าว วอยซ์ออนไลน์ ว่า ระยะแรกที่ทำ เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก เพราะรูปแบบได้แหวกขนบธรรมเนียมเดิมๆที่เคยมีมา
“มีการต่อต้านเยอะพอสมควร เพราะว่าแรกๆ คนยังไม่ยอมรับ ด้วยชื่อเสียงของคณะที่เพิ่งเริ่มต้นด้วย แล้วก็ด้วยการที่ ที่เราเป็นคนที่ไม่ฟังอะไร ด้วยความเป็นตัวผม คนที่มาก็จะมองในส่วนของมุมว่า ทำอะไรบ้าบอ มีคนมาด่า ลิเกสิงสาราสัตว์บ้าง มีคนมาด่าเราว่าลิเกบ้าบอบ้าง แต่ว่าผมมองว่าเราทำในสิ่งที่เรารัก ต่อต้านมายังไง คือผมไม่เคยฟังคำต่อต้าน คำต่อต้านนี้มันจะมาตอนที่พี่ๆมาบอกเราว่ามันมีกระแสอย่างนี้นะ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเอาใจไปผูกมัดกับคนที่อคติกับเราทำไม ถ้าหากว่าเขาเตือนในความรัก ผมก็โอเค แต่นี้ เรารู้ว่า เขาอคติ ก็เลยไม่สนใจอะไร ก็ทำในสิ่งที่เรารัก ครับผม
มันเป็นความรักของผมตั้งแต่เด็กๆ ที่ชอบซุปเปอร์ฮีโร่ เราดูการ์ตูน เราดูอะไรก็แล้วแต่ มันมีความคลั่งไคล้ แล้วเราก็รู้สึกว่าเรารักตรงนั้น แล้วพอเรามานั่งคิดว่า ในส่วนการนั่งตัดชุดลิเก หรืออะไรพวกนี้ มันเป็นแค่เพียงดีไซน์เท่านั้น ผมก็เลยคิดว่าลองเอาชุดซุปเปอร์ฮีโร่มาตัดดู แล้วพอก็เอามาตัดๆอะไรหลายๆชุด มันก็รู้สึกว่าเวลามันใส่ มันอะไรก็แล้วแต่มันไม่ได้น่าเกลียด และมันก็ไม่ได้ไปทำลายศิลปวัฒนธรรมเขา เป็นแค่ดีไซน์ ที่เขาบิดเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ
“สมัยก่อนที่ไม่ได้เอามา เพราะมันเป็นส่วนของวัฒนธรรมที่เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็เลยไม่กล้าจะเอามาทำ เพราะตอนนั้นเราเด็กอยู่ มีผู้ใหญ่กดไว้อยู่ แต่ ณ ปัจุบันที่เราเอามาดัดแปลงมาเป็นของเรา คณะของเราเอง มันเป็นที่มาของความชอบตอนเด็กๆ มาถึงตอนโต ก็เลยอยากเอามาใส่ในอาชีพที่เรารัก”
ในขณะที่ พี่ชาย นีโน่ สุดที่รัก หรือ กฤษฏิ์สพล สุทธิหิรัญดำรงค์ เมื่อต้องมารับอิทธิพลใส่ชุดลิเกฮีโร่ ตามน้องชาย เขายอมรับว่า ตอนแรกรู้สึกแปลก และกลัวกระแสจากผู้ชมจะมองว่า สิ่งที่พวกเขาทำจะผ่าเหล่าไหม
“ตอนแรกโน่ก็รู้สึกว่าแปลกๆ เพราะว่าจริงๆ แล้วเรื่องศิลปวัฒนธรรมในคณะ โน่จะเป็นคนแบกเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้องเรื่องรำ จะเป็นแบบแผนและเป็นมาตรฐาน แน็คเขาก็จะเป็นสไตล์ของเขา มันแยกจากกัน แต่ทีนี้พอตั้งแต่ที่แน็ค บังคับให้ใส่ พี่เชื่อผมลองใส่ดู แล้วพอโน่ใส่ น้องๆ หนูๆ แม่ๆ เขาก็ชอบด้วย มันก็เลยกลายเป็นปรับตัวให้เข้ากับสภาพไปเลยครับ กลายเป็นลิเกซุปเปอร์ฮีโร่ ทีนี้พ่อแม่พี่น้องเขาก็ไม่ได้แบ่งแยกและว่าเป็นยังไงโน่ก็เลยต้องชินไปกับการกระทำของคุณแน็คกี้ด้วยครับ (หัวเราะ) ตอนแรกก็รู้สึกเขิน กลัวว่าพ่อแม่พี่น้องเขาจะมองว่าเราบ้าบอไปตามน้อง ไหม แต่พอผลตอบรับมันได้กลับมา มันกลับตรงกันข้าม มันก็เลยต้องทำมาให้เราตัดชุดแบบนี้ด้วย จากที่กลัวว่า คนจะหาว่าเราผ่าเหล่า แต่พอผลตอบรับมันมี เด็กรุ่นใหม่หรือพ่อแม่พี่น้อง หลายคนมากเลยนะครับ ที่แบบว่าไม่เคยดูลิเกเลยแต่พอเขาเห็นเราเฮ้ย แปลกดี เขาก็เลยมาติดตามดู แต่พอมาติดตามดูเราก็ซึมซับความเป็นวัฒนธรรมให้เขาไป เขาก็เลยได้ทั้งความสนุกสนาน ความแปลกใหม่ แล้วก็ได้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมไปด้วย งานก็เพิ่มมากขึ้น คนตอบรับมากขึ้น บางทีไปต่างจังหวัด ที่เราคิดว่าไม่น่าจะมีคนรู้จัก คนก็รู้จักก็คือแบบดู ผ่านไลฟ์สด แล้วก็ได้ยินกระแสของเราแบบนี้ มันก็ภูมิใจดีใจที่ เราได้ทำให้ศิลปวัฒนธรรม แขนงลิเกเนี่ย ได้ต่อยอดต่อไปครับ
แน๊ค เดอะคอมเมเดี้ยน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจตั้งแต่เป็นลิเกฮีโร่ จากเคยไปแสดงที่ที่หนึ่ง ที่มีคนดูหลัก 10 คน ตอนนี้กลายเป็นหลักร้อย หลักพัน
“ผมยกตัวอย่างนะครับ คือว่า สมัยก่อนเนี้ยผมเล่นลิเกที่วัดๆนึง ที่จังหวัดปทุมธานี มีคนดูประมาณ 15 คน เราเริ่มรำแรกๆ เราก็เล่นลิเกทั่วไปๆ ปีที่ 2 ผมเล่นอยู่ตรงนั้นมาประมาณ 2 ปี เราเล่นประมาณ 7-8 คืนเป็นงานแก้บนของแม่บุญธรรมเขาหามา คนดูก็มี 15 คน 20 คน 40 คน แล้วพอเรามาทำเป็นลิเกฮีโร่ เราเริ่มสร้างชื่อเสียงพอสมควร แล้วเรากลับไปเล่นที่เดิมที่เราเคยมีคนติดตามดูเรา 15 ถึง 20 คนเนี้ย มันกลับกลายคนดูมาเป็น พันคนครับ ซึ่งเราผมกับพี่ชายผม พี่โน่ และก็พี่นาย มองว่าเราได้ก้าวเข้ามาก้าวนึงแล้วนะ เราไม่ได้ก้าวถอยหลัง เราก้าวเดินหน้าขึ้นมานะ ผมว่าตรงนี้มันเป็นตัววัดได้อย่างหนึ่ง จากพ่อแม่พี่น้องที่มาสนับสนุนเราในที่เดียวกันแต่คนละเวลา แล้วเขาก็ได้ให้การสนับสนุนผม ผมว่าตรงนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่วัดได้นะ
ถึง ลิเกฮีโร่ จะเป็นเอกลักษณ์ประจำคณะ แต่ไม่ใช่จุดขายหลักของของคณะ แน๊ค เผยว่า จุดขายของวงหลักมี 2 เรื่อง ก็คือการแต่งตัวในยุคสมัยใหม่แบบใหม่ และความเป็นคอมเมเดี้ยน ที่สร้างชื่อเสียงกันมาในวงการตลก
แน๊ค เดอะคอมเมเดี้ยน : ผมเล่นมาตั้งแต่ 7 ขวบ ครอบครัวของเราเป็นลิเก ลูกลิเกทุกคนก็วิ��งเล่นตามโรงลิเกอยู่แล้ว ออกไปนั่งเฉยๆ อะไรแบบนี้ครับ โตมากับแบบนั้นอยู่แล้ว จริงๆ มีคณะมา 7 ปีแล้วครับ แต่ 2 ปีนี้ คือจริงจัง ทุกคนรวมกันเลยนั่งรวมหัวคุยกันนะว่า เราจะทำจริงจังกันแล้วนะ แต่ 7 ปีที่ผ่านมาเหมือนเล่นไปหาเงิน คือ เหมือนเอาตังค์เจ้าภาพเพื่อส่งรถส่งบ้านไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรเลยครับ พี่โน่ พี่ชายผมก็ไปทำตามความฝันก็ไปเป็นนักธุรกิจ ผมก็อยู่ในวงการบันเทิงไปเลยไปถ่ายรายการ ถ่ายละคร จนเราลองเอาสิ่งที่เราเป็นตั้งแต่เกิดมาผสมผสานอย่าง พี่โน่ไปอยู่วงการธุรกิจก็มาเป็นผู้จัดการ อย่างวงการบันเทิงเราก็เอาโชว์มาใส่ ผมว่ามันลงตัวตอนเนี้ยครับ
นีโน่ สุดที่รัก : อย่างที่แน็ค คิดขึ้นมาครับ การที่เราแต่งชุดแหวกแนว เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ มันก็จะดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ น้องๆ หนูๆ ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบขึ้นไปถึง 10 ขวบ วัยรุ่นเขาจะมาดูความแปลกใหม่ เราใส่ความเป็นวาไรตี้เข้าไป คือคณะลิเกของโน่จะไม่เหมือนคณะอื่น โดยเราจะใช้มุกตลกมาผสมผสาน เพราะว่าเรามี พี่นาย เดอะคอมเมเดี้ยน เรามี 3 หัวหน้าในคณะ 3 ผู้นำทีมงาน คือพี่นาย เขาจะช่วยคิดเรื่องโชว์ เรื่องความเป็นตลก เราก็เอาเรื่องต่างๆของลิเกที่เคยสืบทอดกันมา มาปรับเปลี่ยนใหม่ อย่างสมมติตอนที่โน่ออกโน่ก็ใช้ การร้องเพลงออกไปเพราะ พ่อเอกชัย ศรีวิชัย (พ่อบุญธรรม) ได้ทำเพลงไว้ให้ แล้วจะมีแดนเซอร์ออกไปก็เหมือนกับร้องเปิดตัว พูดเหมือนกับเป็นลิเกโชว์ เรามีเวทีหมุน เราเอาเรื่องมาบวกกับมุกตลก เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่เขาซึมซับ สนุกสนานความบันเทิง เพราะว่าถ้าเกิดเรามัวไป ร้องรำจ๋าๆเหมือนสมัยก่อน คือเด็กรุ่นใหม่เขาก็ไม่ดูกันแล้ว โน่เลยเอาสิ่งที่เรามานั่งคิดมานั่งคำนวณกันว่าเราต้องปรับรูปแบบใหม่ เพื่อให้มันทันยุคทันสมัยมากขึ้น เอามุกที่ทันยุคทันสมัยมากขึ้นมาปรับใช้ ทีนี้ก็เลยได้กระแสตอบรับที่ดี
ด้านนางเอกประจำคณะ บลู รุ้งจรัส คำมี ที่ต้องแสดงลิเก คู่กับ แน็ค เธอยอมรับตอนแรก ต้องปรับตัวกับการเป็นลิเกฮีโร่ แต่ความแปลกใหม่นี้ ถือเป็นกลยุทธ์ ที่ดึงคนรุ่นใหม่ให้มาสนใจชมลิเกไม่น้อย
ตอนแรกมันแปลกนะ เพราะว่าพี่แน็คกี้เขาตัดมาคนเดียว คือเขาตัดมาแล้วเขาก็ใส่ ใส่มาสักระยะหนึ่งแล้ว และพอหนูเข้ามาเล่นในคณะเขาหนูก็เลยรู้สึกว่า มันน่ารักดีนะ ชุดเขามันแปลกดี แล้วเราเล่นคู่กับเขาก็เลย ตัดมาคู่กันชุดแรก ก็คือ สไปเดอร์แมน ก็คนชื่นชอบคนบอกว่ามันน่ารักดีเวลาเจอกันเกี้ยวกันมันดูแบบฟินอะ เราก็เลยโอเคตัดตามเขามาตลอด ตัดตัวอะไรคือตัดตามหมดเลยค่ะ ตอนนี้มีหลายตัว สไปเดอร์แมน โดเรม่อน แบทแมน แล้วก็กัปตันอเมริกา ธอร์ ประมาณ 6-8 ตัวแล้วค่ะ เมื่อก่อน ลิเกก็จะเห็นว่าเป็นแม่แม่ แบบยาย ผู้สูงอายุส่วนมากมาชม พอเรามาเป็นสองเทพบุตรสุดที่รักแบบนี้ วัยรุ่นเพิ่มมากขึ้นคือมีคนดูกลุ่มใหม่ใหม่เพิ่มมากขึ้นเด็กก็หันมาสนใจลิเกมากขึ้น คือสังเกตได้เลยว่าหน้าโรงลิเกของเราเนี่ยจะมีเด็กมายืนเกาะ เด็กมาชี้เด็กมาดูลิเก ถือว่ามันเป็นความสำเร็จของเราอีกขั้นหนึ่งค่ะ
2 ปีที่จริงจังกับลิเก ตอนนี้กำลังเป็นก้าวเริ่มต้น ของคณะ 2 เทพบุตรสุดที่รัก
แน๊ค เดอะคอมเมเดี้ยน : คือผมรู้สึกว่ามันเป็นกำไรมากกว่า เพราะว่าผมทำงานเลี้ยงชีพ เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว แหละไอ้ส่วนความเป็นฮีโร่อะไร ที่คนยอมรับเข้ามาเนี้ย มันเหมือน.... คือต้องบอกก่อนว่าพื้นฐานของลิเก มีกลุ่มคนที่ยอมรับพอสมควรอยู่แล้วครับ ที่ว่า ถ้าอาจเราว่าเราเล่นลิเกก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่คอยดูเรา คอยสนับสนุนเรา แต่การเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ มันเป็นวงกว้างมากขึ้นครับ วงกว้างในที่นี้ เด็กๆที่จะเข้ามาดู ผมถือว่าเป็นกำไรแหละ เป็นกำไรที่เด็กรุ่นหลังจะต้องมาสืบสาน จะต้องมาดูรู้จักลิเกว่ามันคืออะไรครับ ผมว่าตรงนี้มันเป็นกำไรมากกว่า ครับผม
ผมว่าการประสบความสำเร็จของผมมันอยู่หน้าเวที เพราะว่าอย่างการเป็นฮีโร่ เขาจะพูดกันโลกโซเชียล แต่อย่างเวที เราไม่สามารถที่จะเอาฮีโร่มาทำ เอาหน้าเวทีให้อยู่ได้ เราต้องพัฒนาพื้นฐานศิลปวัฒนธรรมและก็พัฒนาโชว์ พัฒนาอะไรหลายๆอย่าง เพราะซุปเปอร์ฮีโร่มันเหมือนเป็นแค่ มันเหมือนเราเปิดฝาเข้ามาครับ เหมือนคนเปิดฝาขึ้นมาเห็นน้ำอยู่ น่ากินเว้ย เปิดฝามาคือแพ็คเก็จมันดี แต่ข้างในมันจะอร่อยหรือไม่อร่อยคือเราจะต้องไปพัฒนา เนื้อตัวข้างใน คือแพ็คเก็จมันโอเค แต่ข้างในมันต้องอร่อยด้วย ครับผม
อนาคตจะปรับตัวยังไงให้ลิเกของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น
นีโน่ สุดที่รัก : โน่ก็ตั้งใจว่าเราจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ ให้ทันยุคทันสมัยเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยมากขึ้น แต่ว่าเรายังคงรักษารากเหง้า วัฒนธรรมศิลปะการร้องรำ ของแบบฉบับลิเกไว้อยู่แล้ว แต่ทีนี้เราก็จะเอาแบบเนื่องด้วยจากตอนนี้มันมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาไม่ว่าจะเป็นพวกเครื่องเสียงเวทีแสงสีเสียงลูกเล่นต่างๆ เข้ามา เราจะมาปรับใช้เพราะว่า โน่โชคดีที่พอมีพ่อเอกชัย ศรีวิชัย ท่านแบบ เป็นพ่อบุญธรรมท่านก็จะเอาความแปลกใหม่ต่างๆที่แกเคยไปเห็นไปทำมา เอามาปรับ เอามาแหวก เอามาใช้ ให้เราอย่างนี้ครับ มันเลยกลายเป็นว่า เราเลยตามเทรนอยู่เรื่อยๆ คือ ไม่ให้ตกเทรน เพราะว่าพ่อเขาจะไม่ยอมเรื่องนี้อยู่แล้วเรื่องศิลปวัฒนธรรมให้มันตามยุคตามสมัยมันก็เลยเป็นลิเกประยุกต์ อะไรอย่างนี้ครับ
สำหรับความสำเร็จของ ลิเกฮีโร่ ไม่เพียงแต่จะดึงกลุ่มเด็กวัยรุ่นให้มาสนใจชมลิเกกันมากขึ้น อีก 1 บทพิสูจน์ คืองานจ้าง ของคณะ 2 เทพบุตรสุดที่รัก ที่มีเจ้าภาพจ้างงานล่วงหน้า ยาวถึง 10 ปี ซึ่งใครที่สนใจอยากติดตามชม ลิเกคณะ 2 เทพบุตรสุดที่รัก ทางคณะก็ได้มีการแจ้งตารางงาน ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ ลิเกสองเทพบุตสุดที่รัก Foto's Gallery