กลุ่มสิทธิสัตว์และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กล่าวยกย่องการตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลไอซ์แลนด์ โดย Humane Society International ระบุว่าความพยายามในครั้งนี้ นับเป็น “ก้าวสำคัญในการอนุรักษ์วาฬด้วยความเห็นอกเห็นใจ”
“ดิฉันได้ตัดสินใจที่จะระงับการล่าวาฬ” จนถึงวันที่ 31 ส.ค. ซวาร์ดิส สวาวาร์สดอตตีร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหารไอซ์แลนด์ กล่าวในแถลงการณ์ หลังจากรายงานของคณะกรรมาธิการของรัฐบาลที่สรุปว่า การล่าวาฬนั้นไม่ชอบตามรัฐบัญญัติสวัสดิภาพสัตว์ของไอซ์แลนด์
จากการตรวจสอบล่าสุดโดยหน่วยงานอาหารและสัตวแพทย์ของไอซ์แลนด์ เกี่ยวกับการล่าวาฬฟินพบว่า การฆ่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านี้ใช้เวลานานเกินไป ตามวัตถุประสงค์หลักของรัฐบัญญัติสวัสดิภาพสัตว์ ทั้งนี้ มีการส่งต่อคลิปวิดีโออันน่าตกใจ ที่เผยแพร่โดยหน่วยงานสัตวแพทย์ ที่แสดงให้เห็นความเจ็บปวดของวาฬ ขณะที่มันถูกล่าเป็นเวลา 5 ชั่วโมง
“หากรัฐบาลและผู้รับใบอนุญาต ไม่สามารถรับประกันตามมาตรฐานด้านสวัสดิการได้ กิจกรรมเหล่านี้จะไม่สามารถจัดขึ้นได้อีก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหารไอซ์แลนด์กล่าว
ไอซ์แลนด์มีบริษัทล่าวาฬเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวคือ Hvalur และใบอนุญาตในการล่าวาฬฟินจะหมดอายุในปี 2566 ส่วนอีกบริษัทหนึ่งได้หยุดดำเนินการไปแล้วในปี 2563 โดยทรงบริษัทระบุว่าพวกเขาไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป
ฤดูล่าวาฬของไอซ์แลนด์ เริ่มตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. ถึงกลางเดือน ก.ย. และมีการตั้งข้อสังเหตว่า Hvalur จะเริ่มออกเรือล่าวาฬสู่ทะเลในช่วงปลายฤดูกาล ทั้งนี้ โควต้าประจำปีของไอซ์แลนด์ อนุญาตให้ฆ่าวาฬฟินได้ 209 ตัว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลที่มีขนาดตัวยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากวาฬสีน้ำเงิน และวาฬมิงค์ 217 ตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์วาฬที่เล็กที่สุด อย่างไรก็ดี การล่าวาฬในไอซ์แลนด์ได้ลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดเนื้อวาฬที่ลดน้อยลง
ปัจจุบันนี้ มีเพียงไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และญี่ปุ่น ที่เป็นกลุ่มประเทศเดียวในโลก ที่ยังคงล่าวาฬอย่างต่อเนื่องท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักปกป้องสิทธิสัตว์
“ไม่มีทางที่จะฆ่าวาฬในทะเลอย่างมีมนุษยธรรม ดังนั้นเราขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีสั่งห้ามอย่างถาวร” รูดด์ ทอมบร็อก ผู้อำนวยการบริหารของ Humane Society International ประจำภูมิภาคยุโรปกล่าวว่า “วาฬเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงมากมายในมหาสมุทรจากมลพิษ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การเข้าไปพัวพันกับอวนจับปลา และการจู่โจมของเรือ ซึ่งการยุติการล่าวาฬเชิงพาณิชย์อย่างโหดร้าย เป็นเพียงข้อสรุปทางจริยธรรมเท่านั้น”
โรเบิร์ต รีด หัวหน้า Sea Shepherd UK กล่าวว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็น “ผลกระทบครั้งใหญ่” ต่อประเทศล่าวาฬอื่นๆ “หากการล่าวาฬไม่สามารถทำอย่างมีมนุษยธรรมที่นี่ได้… ที่ไหนๆ ก็ไม่สามารถทำอย่างมีมนุษยธรรมได้” รีดกล่าวเสริมอีกว่า “วาฬเป็นสถาปนิกของมหาสมุทร พวกมันช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยส่งผลกระทบต่อกระบวนการหมุนเวียนคาร์บอน”
การต่อต้านการล่าวาฬมีมากขึ้นในไอซ์แลนด์ โดยตอนนี้เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้เลิกล่าวาฬ ทั้งนี้ ผลสำรวจที่ตีพิมพ์เมื่อต้นเดือน มิ.ย. ระบุว่า 51% ของชาวไอซ์แลนด์ต่อต้านการล่าวาฬ และ 29% เห็นชอบต่อการล่าวาฬ โดยกลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เป็นผู้สนับสนุนการล่าวาฬมากที่สุด สืบเนื่องจากการที่ไอซ์แลนด์พึ่งพาการตกปลาและการล่าวาฬมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ แต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรวมถึงทัวร์ชมวาฬในไอซ์แลนด์ได้เฟื่องฟูขึ้น
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเนื้อวาฬ กลับมาทำการล่าวาฬเชิงพาณิชย์อีกครั้งในปี 2562 หลังจากหยุดไป 3 ทศวรรษ ทำให้ความต้องการนำเข้าเนื้อวาฬจากไอซ์แลนด์ลดลงอย่างมาก
ที่มา: