นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG เปิดเผยว่า วิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชนที่ไทยต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยหนึ่งในปัจจัยสะท้อนแสดงจากจำนวนการเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน K+ (เคพลัส) ของธนาคารกสิกรที่เพิ่มสูงขึ้น 16 เท่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หรือคิดเป็นตัวเลขการเปิดบัญชีเพิ่มราว 100,000 บัญชีต่อเดือน
ด้วยเหตุนี้ KBTG ในฐานะบริษัทด้านเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย จึงได้พัฒนา 6 เทคโนโลยีไร้สัมผัส ประกอบไปด้วย
นายเรืองโรจน์ กล่าวเพิ่มว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาตั้งอยู่บนแนวคิดของ Ambient intelligence หรือความฉลาดในการคำนวณสภาพแวดล้อมผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป้าหมายสำคัญที่สุดเป็นไปเพื่อพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้า โดยสะท้อนออกมาผ่านเทคโนโลยี 6 ตัวข้างต้น อาทิ การจ่ายเงินผ่านระบบยืนยันตัวตนทางใบหน้า (Face Recognition) ที่หวังสร้างความปลอดภัยจากการไม่ต้องถอดหน้ากาก หรือการจัดเก็บใบเสร็จผ่านรูปแบบดิจิทัลแทนการต้องสัมผัสแทน
ประธาน KBTG เสริมว่า เมื่อระบบได้เรียนรู้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ารายนั้นๆ แล้ว ก็จะทำให้เทคโนโลยีได้เรียนรู้รูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยให้ธนาคารหาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปนำเสนอกับลูกค้าได้
ซึ่งนายเรืองโรจน์ย้ำว่าจะเป็นรูปแบบของสถาบันการเงินในอนาคตที่ต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองสู้กับคู่แข่งทั้งในและนอกวงการผ่านการ "รู้ใจลูกค้ามากกว่าตัวลูกค้าเอง"
ขณะที่ประเด็นการเรื่องการนำเทคโนโลยีไปปรับใช้จริงกับภาคธุรกิจ ประธาน KBTG ชี้ว่า เนื่องจากเทคโนโลยีบางอย่างไม่ได้เรียกร้องการติดตั้งที่ซับซ้อนหรือต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการลงทุนจึงเชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหา ประกอบกับตนมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเทรนด์ที่จะเกิดมากขึ้นในอนาคตดังนั้นหากอุปกรณ์ต่างๆ จะมีราคาสูงบ้างก็น่าจะเป็นแค่ในช่วงแรกเท่านั้น
ท้ายสุดสำหรับประเด็นความอ่อนไหวเรื่องการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล KBTG ย้ำว่าระบบไม่มีการเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ที่ตนเองตามรูปแบบของสถาบันการเงินแต่ธนาคารจะสามารถเก็บข้อมูลที่ไม่มีการระบุตัวตนมาพัฒนาอัลกอริทึม และย้ำว่าทุกขั้นตอนจะปฏิบัติตามกฎหมาย