วันที่ 29 ธ.ค. สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่เปิดให้มีการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นมาว่า ผ่านมา 29 วัน มีผู้มาจดแจ้งมากถึง 120,000 คน ส่วนเจ้าหนี้ที่เป็นคู่กรณีกับลูกหนี้ก็มีถึง 80,000 กว่าราย ขณะที่มูลหนี้สูงเกือบ 2,000,000,000 บาท
สุทธิพงษ์ กล่าวถึงปัญหาในการดำเนินการโครงการดังกล่าวว่า ลูกหนี้นอกระบบมักจะให้ข้อมูลไม่ครบ ในเรื่องของที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ รวมถึงการแจ้งชื่อเจ้าหนี้ที่มักจะแจ้งชื่อเล่น และไม่มีช่องทางติดต่อ ทำให้เกิดความยุ่งยากที่จะเดินหน้าตามความต้องการของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ต้องการให้ประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบใช้ชีวิตอย่างปกติสุข และป้องกันการทำร้ายร่างกายจนถึงชีวิตจากเจ้าหนี้
ขณะที่กระบวนการไกล่เกลี่ย สุทธิพงษ์ เปิดเผยว่า เริ่มดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. มีมูลหนี้ที่สามารถไกล่เกลี่ยได้แล้วกว่า 100,000,000 บาท โดยผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญรัฐบาลได้เห็นชอบให้ธนาคารของรัฐ อย่าง ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ปล่อยกู้ให้ลูกหนี้นอกระบบที่มีอาชีพ เพื่อนำไปปิดหนี้ และผ่อนกับธนาคารเพียงร้อยละ 1 ต่อเดือน จากปกติที่ลูกหนี้ต้องจ่ายดอกร้อยละ 20-30 ต่อวัน ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแล้ว แต่อยู่ระหว่างให้สองธนาคารดังกล่าวเตรียมกระบวนการ
สุทธิพงษ์ ยืนยันว่า ฝ่ายปกครอง คณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และเจ้าหน้าที่ภาคีเครือข่ายทุกฝ่ายกำลังเดินหน้าที่จะทำการไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ และลูกหนี้ให้ลงตัว เพราะปัญหาหลักใหญ่คือ เจ้าหนี้ และลูกหนี้เจรจาเรื่องการส่งเงินต้น และเงินดอกที่ไม่สมดุลกัน
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังเผยอีกว่า ในมาตรการการแก้ไขปัญหาระยะยาว อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ปลัด และทุกกรมกองในกระทรวงมหาดไทย เตรียมโปรแกรมเข้าไป Re-Xray หรือตรวจเช็คการใช้ชีวิตของลูกหนี้นอกระบบ เพื่ออุดช่องโหว่ในเรื่องของรายได้ที่ไม่พอรายจ่าย และสนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ เพื่อพัฒนาศักยภาพของประชาชนที่เป็นลูกหนี้นอกระบบให้สามารถมีรายได้ที่เพิ่มพูนมากขึ้น และสามารถพึ่งพาตัวเองได้
สุทธิพงษ์ กล่าวถึงมาตรการการกวดขันช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ว่ารัฐบาลมีความห่วงใยโดยเฉพาะเรื่องการเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือการเดินทางท่องเที่ยว จึงขอเตือนสติประชาชนว่า "ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม" เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข ไม่ต้องดูแลปรนนิบัติอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจากอุบัติเหตุ
ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นต้องการความช่วยเหลือจากทางราชการ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย หมายเลข 1567 สายด่วนนิรภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หมายเลข 1748
สุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า ในกรณีกลับถึงภูมิลำเนา การเลี้ยงฉลอง และการดื่มกิน ขอให้อยู่ที่บ้าน พยายามไม่ใช้รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ไปซื้อสุรามาเติม ส่วนกรณีไปสังสรรค์กับพวก ขอให้ยึดหลักการเดิมคือ "ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม" พยายามไปกับคนที่ไม่ดื่มหรือไปด้วยกันหลายคน ดื่มอย่างมีสติ ดีที่สุดคืออยู่ที่บ้าน
ทั้งนี้ช่วงเทศกาลปีใหม่ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้รับคำสั่งให้เคร่งครัดจัดระเบียบสังคม และตรวจตราดูการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและอาวุธปืน โดย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้ทุกจังหวัดห้ามออกใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน ไม่สามารถพกพาอาวุธปืนไปนอกเคหสถานได้ โดยหน่วยงานราชการ หน่วยงานท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครองจะมีมาตรการตรวจค้นอาวุธปืนและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ
สุทธิพงษ์ ยังฝากถึงพี่น้องประชาชนที่เป็นสุจริตชนว่า อย่าหลงลืมพกพาอาวุธปืนเพราะเราไม่อนุญาต สิ่งที่เกิดเหตุกระทำความผิดเป็นประจำทุกปีคือ การยิงอาวุธปืนขึ้นท้องฟ้าเพื่อฉลองปีใหม่ ทำให้มีเหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้น จึงขอให้งดการยิงปืนเฉลิมฉลองในเทศกาลปีใหม่ และทุกโอกาสเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับพี่น้องคนไทย ทั้งนี้การยิงปืนขึ้นฟ้าในที่ชุมชนถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายด้วย