นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เข้าร่วมเวทีดีเบตนโยบายพรรคการเมือง ซึ่งจัดขึ้นโดยเว็บไซต์ THE STANDARD วันนี้ (10 มี.ค. 2562) โดยธนาธร ระบุว่า อุดมการณ์ของพรรคคือการหยุดการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ และการตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองก็คือการประนีประนอม และเป็นวิธีเดียวที่พรรคมองว่าจะเป็นก้าวแรกเพื่อเข้าสู่สังคมที่ 'เท่าเทียม-เป็นธรรม' และย้ำว่า การเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ คือเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและการจัดการโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมในสังคม
"เมื่อพรรคอนาคตใหม่พูดถึงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม เรากำลังพูดถึงกลุ่มทุนผูกขาด เรากำลังพูดถึงผู้นำกองทัพที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย และเรากำลังพูดถึงโครงสร้างรัฐราชการที่รวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง ทุกท่านครับ ถึงเวลาแล้วครับ เราไม่สามารถปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ต่อไป"
"วันนี้ ประเทศไทยต้องเปลี่ยน ใช้โอกาสของพวกเรา หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง เท่ากัน วันที่ 24 มีนาคม ไม่ว่าลุงคนไหนกับพวกเราก็จะมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง มีอำนาจเท่ากัน ใช้อำนาจที่เราได้มาเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เริ่มเดินไปข้างหน้าด้วยกัน" นายธนาธรกล่าว
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า สังคมไทยยังคาดหวังความปรองดองได้อยู่หรือไม่ และเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการพาประเทศไปสู่ความปรองดองคืออะไร นายธนาธรตอบว่า สังคมไทยจะเดินหน้าไปไกลกว่านี้ไม่ได้เลย ถ้าเราไม่จริงจังกับการปรองดอง
อย่างไรก็ตาม นายธนาธรย้ำว่า การปรองดองตามที่ผู้มีอำนาจในขณะนี้กำลังบอกกับสังคมไทย ไม่ต่างอะไรจากการตอกย้ำให้ปรองดองโดยหลงลืมอดีต และบอกว่าอย่ารื้อฟื้นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
"สิ่งที่ผู้มีอำนาจในขณะนี้กำลังบอกพวกเราก็คือการปรองดองโดยหลงลืมอดีต ลืมๆ มันไป ผมอยากจะยกตัวอย่างอย่างนี้ ในกรณีเสือดำ ผมสมมติว่าคนที่ยิงเสือดำตายมาบอกพวกคุณว่า ลืมไอ้เสือดำตัวที่ยิงตายไปเถอะ มาช่วยกันอนุรักษ์เสือดำที่เหลืออยู่ดีกว่า แล้วไม่ต้องลงโทษคนที่ทำผิดในการยิงเสือดำตัวนั้น คุณยอมไหม? ไม่ยอม! นี่คือตรรกะเดียวกันที่เราพูดถึงการปรองดอง"
"สมมติว่าเราเป็นเจ้าของรถ ผมเป็นเจ้าของรถ คุณลุงข้างบ้านผมมาขโมยรถคันนี้ไป ผมไปบอกคุณลุง ผมขอรถคืนนะ จะเอารถคืน คุณลุงบอกว่า อย่าเลยธนาธร อย่ามาเอารถคืน อย่าส่งเสียงดังนะ เดี๋ยวเพื่อนบ้านจะแตกตื่น เดี๋ยวเพื่อนบ้านจะวุ่นวาย อย่ามาเอารถคืน อย่ามาทวงรถคืน ตกลงใครผิด? ผมซึ่งเป็นเจ้าของรถหรือคุณลุงซึ่งขโมยรถผมไป ใครเป็นคนผิด คุณลุง! นี่คือตรรกะเดียวกัน"
"เพราะประชาธิปไตยคือหลักการที่ว่าด้วยคนทุกคนเท่ากัน และอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เมื่ออำนาจสูงสุดเป็นของเรา แล้วเขาเอาอำนาจจากเราไป การทวงคืนอำนาจของเราจึงชอบธรรม และคนที่จะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้ง คนที่จะทำให้ประเทศไทยปรองดองไม่ได้ ไม่ใช่ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจนั้น แต่เป็นคนที่เอาอำนาจนั้นไปจากเรา"
"หลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ชนชั้นปกครองทำ ก็คือปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวเอาไว้ในจิตใจเรา เมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวความวุ่นวาย เขาจะบอกพวกเราอย่างนี้ เอาอีกเหรอ วุ่นวายอะ อย่าปล่อยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวนี้เติบโตงอกงามอีกต่อไป เพราะคนที่ถืออำนาจย่อมไม่อยากให้พวกเราลุกขึ้นมาทวงอำนาจที่พวกเขามีอยู่คืน"
นอกจากนี้ยังมีผู้ชมร่วมตั้งคำถามเพิ่มเติม ระบุว่า อุดมการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ คือ การหยุดการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ แต่ยังมีบางกลุ่มที่เห็นว่าเผด็จการเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จุดยืนที่ไม่ประนีประนอมในเรื่องนี้จะนำไปสู่ความวุ่นวายแตกแยกหรือไม่ มีวิธีรับมือกับกลุ่มคนไม่เห็นด้วยอย่างไร และจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดรัฐประหารซ้ำ
ซึ่งนายธนาธรตอบว่า "สภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาก็คือการประนีประนอมอยู่แล้ว เราต้องการผลักดันวาระของเราให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยให้ได้ และวิธีเดียวที่จะทำได้ในสายตาอนาคตใหม่ ก็คือทำผ่านสภา"
"สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราฝันได้ มีอยู่วิธีเดียว 'รณรงค์' อย่างหนักหน่วง อย่างต่อเนื่อง อย่างแข็งขัน เพราะ 24 มีนาฯ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครับ 24 มีนาฯ เป็นก้าวแรกต่างหาก การเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะได้มาซึ่งสังคมที่เท่าเทียมเป็นธรรม ประเทศไทยที่เท่าทันโลก ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ไม่ได้มาในการเลือกตั้งครั้งนี้แน่ๆ
ดังนั้น หลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่ ใครได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้าไปทำงานในสภา ก็เข้าไปทำงานในสภา ใครที่อยู่ข้างนอก เป็นองคาพยพของพรรคอนาคตใหม่ เป็นสมาชิกพรรค เป็นทีมจังหวัด อยู่นอกสภา ไปทำงานให้เต็มที่ รณรงค์ให้ประชาชนเห็นถึงความฝันของเรา ความตั้งใจของเรา รณรงค์ให้ประชาชนเห็นว่าทำไมรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ รณรงค์ให้เห็นว่าถ้าไม่ปฏิรูปกองทัพ ถ้ายังปล่อยให้กองทัพมาทำรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง จะเกิดผลร้ายอย่างไร นี่คือการทำงานที่ยึดมั่นในระบบรัฐสภา เพราะเราคิดว่าการรณรงค์อย่างหนักแน่นอย่างนี้เท่านั้น จะทำให้เราชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป
เมื่อวาระของเราเป็นวาระสังคม เมื่อเราสามารถผลักดันให้วาระของเราเป็นวาระที่สังคมยอมรับได้ เราจะชนะการเลือกตั้ง ไม่ใช่ชนะการเลือกตั้งก่อนแล้วถึงทำวาระของเราให้เป็นวาระสังคม นี่คือทิศทางการเมือง การเดินทางที่เดินไปข้างหน้าด้วยการยึดมั่นในรัฐสภาและสันติวิธี แต่ก็ต้องบอกว่ากลุ่มคนที่ไม่ยอมเอาอำนาจให้กับประชาชน พยายามที่จะทำลายพวกเรา พรรคอนาคตใหม่มาตลอด ด้วยคำลวง คำเท็จ ทำให้ประชาชนเกลียดชังกัน เพราะว่าพรรคอนาคตใหม่เริ่มได้รับความสนใจ เริ่มมีพลังขึ้นมา นี่แสดงให้เห็นชัดเลยว่าเขากลัวเรา นี่แสดงให้เห็นชัดเลยว่าปัจจุบันนี้ นี่คือลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเผด็จการ การเมืองของเผด็จการคือการทำให้คนกลัว เกลียดชังกัน ชิงชังกันเอง การเมืองของประชาชนคือการเมืองแห่งความหวัง 24 มีนาคมนี้ อย่าปล่อยให้การเมืองแบบเก่า พาประเทศไทยไปสู่จุดเดิม"
ขณะเดียวกัน นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ซึ่งร่วมดีเบตกับนายธนาธรในประเด็นเรื่องความปรองดอง ระบุเพิ่มเติมว่า ความไม่ปรองดองบางทีก็เกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น ถ้าพูดเรื่องจีดีพีโต 4 เปอร์เซ็นต์ แต่จีดีพีในต่างจังหวัดไม่ได้โตด้วย หรือโอกาสที่คนในต่างจังหวัดจะได้รับการพัฒนาก็ไม่เท่าเทียมกัน การกระจายรายได้ไม่สม่ำเสมอ พรรคชาติพัฒนาจึงมองว่า การแก้ไขความเหลื่อมล้ำจะเป็นจุดสำคัญในระดับต้นน้ำที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องความปรองดอง
"ทำอย่างไรที่จะให้คุณอยู่ที่ไหนก็มีโรงเรียนดีๆ เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็มีระบบสาธารณสุขเหมือนกัน โอกาสในการที่จะมีมอเตอร์เวย์ มีรถไฟรางคู่ มีรถไฟความเร็วสูงไปทั่วถึง มีไว-ไฟ มี 5G มีอะไรต่างๆ ทั่วถึง โอกาสในการที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือโอกาสที่จะมีการศึกษาที่ทุกคนที่จะสามารถส่งบุตรหลานไปเรียนได้ ฉะนั้นถ้าบ้านเมืองเราแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ ความรู้สึกของคนในชาติก็จะเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นพื้นฐานที่จะสร้างความปรองดอง"
นอกจากนี้ นายสุวัจน์ยังระบุด้วยว่า พรรคชาติพัฒนามีนโยบายส่งเสริมการกีฬา ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสร้างความรักและสปิริตความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยยกตัวอย่างกรณีนักกีฬาได้เหรียญทองโอลิมปิกก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนทั้งประเทศได้
ส่วนการปรองดองทางการเมือง จะต้องเปลี่ยนจากเดิมที่การเมืองมีความขัดแย้ง มีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น ทำให้พรรคมีคำขวัญว่า "ชาติพัฒนา No Problem" ก็คือ จะไม่สร้างปัญหาทางการเมือง และยอมรับในกฎกติกา หากแพ้เลือกตั้งก็ต้องรออีก 4 ปีค่อยแก้ตัวใหม่
"เราจะเล่นการเมืองแบบตามกติกา เล่นการเมืองเหมือนนักกีฬา เล่นกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ ผมแพ้คุณ ผมก็รออีก 4 ปี รู้จักที่จะยอมรับผลการตัดสิน พี่น้องประชาชนเลือกมายังไง ผมก็จะตัดสินใจในทิศทางทางการเมืองตามพี่น้องประชาชนเลือก ใช้เสียงข้างมาก ใช้เสียงในสภาเป็นข้อยุติทางการเมืองครับ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: