คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนี้เกิดจากความสับสนในการดำเนินงาน การออกมาตราการ การประสานงาน ของรัฐบาล จนเกิดความเสี่ยงกับประชาชน โดยมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือ การมีศูนย์รวมในการสั่งการที่ชัดเจน มีศูนย์แถลงข่าวเพียงศูนย์เดียว เพื่อให้เกิดการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ และหลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการปิดสถานประกอบการ ทำให้พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งภาคท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้าปลีกรายเล็ก ได้รับผลกระทบ
มาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 จากมาตรการของรัฐบาลให้ปิดสถานประกอบการ คือเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการควบคู่กับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด โดยเฉพาะต้องเร่งช่วยคนตัวเล็ก คือ พนักงาน, ลูกจ้าง, ผู้ใช้แรงงาน จากมาตรการปิดสถานที่ต่าง ๆ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่าง SMEs โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, ร้านค้าปลีกรายเล็ก และอื่นๆ โดยขอเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบดังต่อไปนี้
1. มาตรการสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ต้องถูกเลิกจ้าง คนตกงาน ถูกพักงาน
2. มาตรการสำหรับภาคธุรกิจ ต้องเร่งช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง SMEs กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มผู้ผลิต ขนาดเล็กขนาดกลาง ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร รับจัดอีเว้นท์ สปา ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดย
3. มาตรการสำหรับเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและกำลังมีปัญหาผลกระทบจากโควิด-19
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนงบประมาณในแต่ละกระทรวงที่ไม่จำเป็น มาใช้ในการแก้ปัญหา หรือ ซื้อเครื่องมือแพทย์ รวมถึงปรับวิธีใช้งบประมาณทั้งส่วนราชการส่วนกลาง งบกลาง งบท้องถิ่น งบส่วนภูมิภาค แต่ทั้งนี้ต้องให้อำนาจผู้ว่าราชการมีอำนาจในการดำเนินการ เพราะตอนนี้มีเพียงการสั่งการให้ท้องถิ่นดำเนินการตามมาตรการ แต่ไม่มีการมอบอำนาจในเรื่องของการใช้งบประมาณส่วนใดมาดำเนินการ ทำให้ท้องถิ่นรู้สึกกังวล
ด้าน นพ.ทศพร เสรีรักษ์ หัวหน้าศูนย์โควิด-19 กล่าวเพิ่มเติมว่า เท่าที่ทราบขณะนี้เครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ จึงอยากให้รัฐบาลอาจจะเจรจาติดต่อกับประเทศจีน เพื่อทำจีทูจี ช่วยเหลืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้งบประมาณต่างๆเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เมื่อเปรียบแล้วหากรัฐบาลจะทำห้องไอซียูที่สมบูรณ์ ต้องใช้งบประมาณมูลค่า 5 ล้านบาท หากรัฐบาลไม่นำงบประมาณไม่ซื้อเรือดำน้ำมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท รัฐบาลก็จะสามารถทำห้องไอซียูได้ถึง 6,000 ห้อง