ไม่พบผลการค้นหา
แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของสหรัฐฯ นักการเมืองคนสำคัญของประเทศ ออกมาเปิดเผยต่อรัฐสภาว่า เธอเตรียมลงจากเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดให้คนรุ่นใหม่ได้ขึ้นมามีบทบาทแทนตน

เพโลซีในวัย 82 ปี เป็นพันธมิตรหลักจากฝ่ายนิติบัญญัติของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฝ่ายบริหาร เธอมีบทบาทนำในรัฐสภาสหรัฐฯ มาตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกออกมาแถลงในครั้งนี้ หลังพรรครีพับลิกันสามารถคว้าเสียงข้างมากในที่นั่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แทนพรรคเดโมแครตไปได้

“ด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งในพรรคการเมืองของเรา ดิฉันจะไม่ลงรับการเลือกตั้งใหม่ เพื่อเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยในรัฐสภาครั้งต่อไป” เพโลซีกล่าวในรัฐสภาสหรัฐฯ “สำหรับดิฉัน เวลามาถึงแล้วสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตที่ดิฉันเคารพอย่างสุดซึ้ง และดิฉันรู้สึกขอบคุณที่หลายคนพร้อมและเต็มใจ ที่จะแบกรับความรับผิดชอบที่สุดยอดนี้”

ขณะที่กำลังกล่าวในรัฐสภา เพโลซีได้กลัดเข็มคทาแห่งสาธารณรัฐ พร้อมกับชุดสูทสีขาวสัญลักษณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้งผู้หญิง ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้รับเสียงปรบมืออย่างมโหฬาร นับเป็นภาพการเปลี่ยนแปลงของพรรคเดโมแครตในที่นั่ง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หลังจากความพ่ายแพ้ต่อพรรครีพับลิกัน จากศึกเลือกตั้งกลางสมัยที่ผ่านมา ทั้งนี้ มี ส.ส.หลายคนเข้ามาโอบกอด และหอมแก้มพร้อมน้ำตาต่อเพโลซี เพื่อส่งเธอลงจากการเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

ไบเดนได้กล่าวยกย่องการทำงานของเพโลซี ในแถลงการณ์ที่ออกโดยทำเนียบขาวซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดียกย่องให้เธอเป็น “ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่สืบเนื่องตำแหน่งยาวนานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วนว่า เธอได้รวบรวมภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อรักษาคำสาบานต่อพระเจ้าและประเทศชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าระบอบประชาธิปไตยของเราจะส่งมอบและยังคงเป็นสัญญาณต่อโลก ในทุกสิ่งที่เธอทำ เธอสะท้อนถึงศักดิ์ศรีในการกระทำของเธอ และศักดิ์ศรีที่เธอเห็นในชีวิตของผู้คนในประเทศชาติแห่งนี้”

เพโลซีเป็นสมาชิกรัฐสภาจากมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอเป็นผู้หญิงที่ได้รับการเลือกตั้งสูงสุด และทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ จนกระทั่ง กมลา แฮร์ริส ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เมื่อเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว ทั้งนี้ เพโลซีเติบโตขึ้นมาในบัลติมอร์ เธอเป็นลูกสาวของ โธมัส ดาเลซานโดร จูเนียร์ นายกเทศมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต เมื่ออายุ 30 ปี เธอเป็นแม่ของลูก 5 คน “เมื่อดิฉันมาที่ห้องแห่งนี้ในครั้งแรกตอนอายุ 6 ขวบ ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าสักวัน ดิฉันจะเปลี่ยนจากคนทำงานบ้านไปเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร” เพโลซีกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี

เพโลซีได้รับเลือกเข้าสู่สภาเป็นครั้งแรก ในการเลือกตั้งพิเศษและเลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ เธอทำลายประวัติศาสตร์ในปี 2550 เมื่อเธอได้รับเลือกให้เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ทำหน้าที่เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตำแหน่งรองจากตำแหน่งประธานาธิบดี เธอยังมีบทบาทเป็นผู้นำในการออกกฎหมายด้านสาธารณสุขของ บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านรัฐสภาด้วย 

ในการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อีกครั้งในปี 2562 เธอได้รับคำชมเชยจากวิธีการตอบโต้ของเธอ ต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น โดยเพโลซีฉีกสำเนาสุนทรพจน์ของทรัมป์ จนกลายเป็นที่จดจำไปทั่วโลก หลังจากที่ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ครั้งที่ 3 จบลง เพโลซียังเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ดูแลการลงคะแนนเสียงในการลงมติของทั้งสองสภา เพื่อดำเนินการถอดถอนทรัมป์ออกจากการเป็นประธานาธิบดี แม้จะไม่ประสบกับความสำเร็จก็ตาม

ในการกล่าวของเพโลซีบนรัฐสภา เพโลซีซึ่งจะยังคงอยู่ในรัฐสภาสหรัฐฯ ไปอีก 2 ปี กล่าวว่า เธอสนุกกับการทำงานร่วมกันกับประธานาธิบดี 3 คน (จอร์จ บุช โอบามา และไบเดน) โดยเธอไม่ได้เอ่ยถึงชื่อทรัมป์ ทั้งนี้ เธอกล่าวแสดงยินดีกับผลการเลือกตั้งกลางสมัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่ง ส.ส.และ ส.ว.พรรครีพับลิกัน ที่ปฏิเสธผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไบเดนจำนวนมาก และภักดีต่อทรัมป์ ต่างประสบกับความพ่ายแพ้ “ด้วยการเลือกตั้งเหล่านี้ ประชาชนยืนหยัดในต่อต้านการละเมิดและโจมตีประชาธิปไตย พวกเขาปฏิเสธความรุนแรงและการจลาจลอย่างกึกก้อง และในการทำเช่นนั้น ช่วยแสดงหลักฐานตลอดทั้งคืนว่า ธงของเรายังคงอยู่ที่นั่น” เพโลซีกล่าวถึงเนื้อเพลงชาติสหรัฐฯ เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์

เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพโลซีกล่าวว่าเหตุทำร้ายร่างกาย พอล เพโลซี สามีของเธอเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้บุกรุกที่ถือค้อนเข้ามาในบ้านพักส่วนตัวที่ซานฟรานซิสโก และปัจจัยอื่นๆ ส่งผลต่อการตัดสินใจของเธอว่าเธอจะเดินหน้างานในทางการเมืองของตัวเองต่อไปหรือไม่ โดยนอกจากไบเดน ที่จะมีอายุครบ 80 ปีในวันอาทิตย์นี้ (20 พ.ย.) ผู้นำระดับสูงของพรรคเดโมแครตยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับคนรุ่นต่อไปของพรรค 

การเกษียณอายุงานทางการเมืองของเพโลซี ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำพรรคเดโมแครต ท่ามกลางคู่แข่งหลายคน รวมถึง ฮาคีม เจฟฟรีส์ วัย 52 ปี จากมลรัฐนิวยอร์ก ซึ่งถูกวางตัวให้เป็นประธานพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร โดย ส.ส.เดโมแครตจะลงคะแนนให้ผู้นำของตนในวันที่ 30 พ.ย.นี้

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (16 พ.ย.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกัน เสนอการสนับสนุนชื่อเบื้องต้นแก่ เควิน แมคคาร์ที เพื่อให้ขึ้นทำหน้าที่เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ เมื่อรัฐสภาสหรัฐฯ มีนัดการประชุมในครั้งต่อไป ทั้งนี้ แมคคาร์ทีซึ่งมาจากมลรัฐแคลิฟอร์เนียเหมือนกันกับเพโลซี กำลังดำรงตำแหน่งประธานพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร และจะต้องเผชิญกับการลงมติเลือกให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรโดยสองสภาของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีใหม่ อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันมากพอที่จะชนะตำแหน่งดังกล่าวหรือไม่

พรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าที่โพลได้คาดการณ์เอาไว้มาก ซึ่งจะเป็นภาระหนักของใครก็ตามที่คว้าตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่มาได้ โดยสมาชิกแต่ละคนจะมีอิทธิพลอย่างมากในการลงมติต่างๆ ปูทางไปสู่การต่อสู้ที่วุ่นวายเกี่ยวกับวาระเรื่องงบประมาณของรัฐบาลและมาตรการอื่นๆ 

ทั้งนี้ มีสมาชิกรัฐสภาชุดใหม่หลายคนที่เห็นด้วยกับแนวคิดของทรัมป์ ซึ่งได้รับการเลือกเข้ามาในรัฐสภาหลังศึกเลือกตั้งกลางสมัย และการควบคุมเสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการของสภา จะทำให้พรรครีพับลิกันสามารถเปิดฉากต่อสู้วาระทางกฎหมายของไบเดนได้ เช่นเดียวกับการเปิดการสอบสวนที่อาจสร้างความเสียหายทางการเมือง เกี่ยวกับการบริหารงานประเทศ และเรื่องราวในครอบครัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอง


ที่มา:

https://www.theguardian.com/us-news/2022/nov/17/nancy-pelosi-house-speaker-speech-steps-down?CMP=Share_iOSApp_Other&fbclid=IwAR1Av6XRd8HV5WGLRQO5W5LZrcFD8HDW3URVQEVflZWcv2BxQXt0SNlCRI0