ที่สถานีโทรทัศน์ Peace TV ซอยนวลจันทร์ กลุ่มคนเสื้อแดง ร่วมกันจัดงานวันคล้ายวันเกิด ให้จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2508 อายุ 54 ย่าง 55 ปี
จตุพร กล่าวถึงความหวังในวาระนี้ว่า ประเทศไทยควรพัฒนาไปมากกว่านี้ เพราะสามารถเป็นผู้นำอาเซียนได้ เนื่องจากมีความพร้อมทุกอย่าง แต่ล้าหลังเพราะไม่เป็นประชาธิปไตยไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองการปกครอง ดังนั้น ในช่วงชีวิตของตน อยากเห็นประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขและอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ตนต่อสู้มาตั้งแต่วัยเด็กจนจะถึงปั้นปลายชีวิตแล้ว
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน ทุกคนจับจ้องไปที่วันที่ 14 ต.ค. โดยส่วนตัว ยืนยันว่าสนับสนุนการชุมนุมของทุกกลุ่มภายใต้หลักสันติวิธีและตามรัฐธรรมนูญ พร้อมย้ำว่า ตนสนับสนุน 3 ข้อเรียกร้องของกระบวนการเคลื่อนไหวเยาวชนนักศึกษา เพราะเชื่อว่าหากจำกัดเพียง 3 ข้อ ชัยชนะก็จะเกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้ตนไม่เห็นด้วยและยังคงเป็นจุดยืนเดิม แต่หากแกนนำเยาวชนนักศึกษาไม่ทบทวนและยืนยันจะไปต่อ ก็ถือเป็นสิทธิเสรีภาพของแกนนำคนรุ่นใหม่ ส่วนตัวเองจะอยู่ในบทบาทติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและคาดหวังว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชนอย่างที่ผ่านมาอีก
"เคารพการตัดสินใจของแกนนำคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะเข้าร่วมชุมนุม" จตุพร กล่าว
พร้อมกันนี้เรียกร้องให้รัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจด้วยการเปิดสภาสมัยวิสามัญก่อนวันที่ 14 ต.ค. เพื่อที่จะลงมติรับหลักการวาระหนึ่งของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งการยื้อเวลาออกไปไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเอง แต่หากรัฐบาลต้องการให้เกิดเรื่อง รวมถึงเป็นการไม่ยอมทำตามสัญญาและนโยบายของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีเอง ที่ได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน ก็จะเผชิญการลุกฮือของประชาชน โดยเฉพาะจากปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน
นอกจากนี้เห็นว่า ปัญหาที่ใหญ่กว่าของรัฐบาลก็คือความทุกข์ยากของประชาชน ที่รัฐบาลควรทุ่มทุกสรรพกำลังแก้ปัญหาและอย่าประเมินความรู้สึกของประชาชนต่ำเกินไป ซึ่งหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่เข้ามาแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ นายกรัฐมนตรีก็ควรรับผิดชอบด้วยการลาออก เพราะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ และตนไม่เห็นความกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาความยากจนนี้ พร้อมยืนยันว่า สำหรับประเทศไทยปัจจุบันขาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ แต่ขาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่ได้
แก้ รธน.เป็นความหวัง แก้ปัญหาเศรษฐกิจคือแก่น
จตุพร ระบุด้วยว่า ไม่ต้องการให้ประเทศไทยจบลงด้วยการบาดเจ็บล้มตาย วันนี้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันอาจจะเป็นความหวังเล็กๆ แต่ปัญหาใหญ่คือความยากจน หากแม้แต่ความหวังเล็กๆ ยังถูกทำลาย ความหวังใหญ่แทบจะต้องปิดประตูโดยปริยาย
เมื่อถามถึงโอกาสที่จะมีรัฐบาลแห่งชาติ และท่าทีของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารปี 2549 ที่พยายามเรียกร้องความปรองดอง จตุพร กล่าวว่า พล.อ.สนธิ สำนึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไป และเห็นเจตนาดี แต่ทั้งหมดอยู่ที่ผู้มีอำนาจปัจจุบัน ว่าจะมีจิตใจแบบพล.อ.สนธิหรือไม่ หากยังสำนึกไม่ได้แบบพล.อ.สนธิ ปัญหาก็จะไม่จบ
ส่วนรัฐบาลแห่งชาตินั้น ประชาชนไม่ยอมรับและทุกครั้งที่ถูกเสนอมาก็เป็นช่วงที่มีวิกฤตรัฐสภาและจะจบลงด้วยการรัฐประหาร จึงเห็นว่า รัฐบาลแห่งชาติไม่สามารถเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้นำเหล่าทัพกับการรัฐประหารนั้น มองว่า ได้เห็นท่าทีจากการประกาศจุดยืนว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะสถานการณ์สังคมไทยที่ลึกลับซับซ้อนทั้งภายในและภายนอกประเทศมหาอำนาจใดเป็นจุดยุทธศาสตร์ จึงหลายเรื่องเกี่ยวพันกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: