ไม่พบผลการค้นหา
คปภ.ยกกรณีศาลฎีกาพิพากษาให้ 6 บริษัทประกันภัยจ่ายสินไหมทดแทนเหตุวางเพลิงอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2553 พร้อมสั่งเร่งศึกษาวิเคราะห์เพื่อปรับแนวปฏิบัติการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีประกันภัย หมายเลขดำ 8132/2561 ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บริษัทศูนย์รับฝากทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แฟมิลี่ โนฮาว จำกัด เป็นโจทก์ที่  1-3 ยื่นฟ้อง บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอล ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดเรื่องประกันภัย กรณี เหตุวางเพลิงระหว่างการชุมนุมการเมืองปี 2553

ทั้งนี้ โจทก์ที่ 1-3 ได้ทำสัญญาประกันภัยทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไว้กับจำเลยที่ 1-6 คุ้มครองการเสี่ยงภัยทุกชนิด จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 3,474,408,510.33 บาท ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2553 – 31 มกราคม 2554 โดยแบ่งสัดส่วนการรับประกันภัยดังนี้

จำเลยที่ 1 ร้อยละ 30 จำเลยที่ 2 ร้อยละ 20 จำเลยที่ 3 ร้อยละ 15 จำเลยที่ 4 ร้อยละ 15 จำเลยที่ 5 ร้อยละ 10 และจำเลยที่ 6 ร้อยละ 10 ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 – 6 ชดใช้เงินค่าสินไหมให้กับโจทย์ทั้งสามเป็นจำนวนเงินรวม 98.057 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยในตอนหนึ่งมีสาระสำคัญว่า เหตุความเสียหายต่อทรัพย์สินตามฟ้องเป็นผลมาจากมีกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าไปในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารจนทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามที่อยู่ภายในอาคารและตัวอาคารดังกล่าวได้รับความเสียหาย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นภัยที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้และการกระทำด้วยเจตนาร้าย ซึ่งเป็นภัยที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธ��รม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ขณะที่ทางนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายรับฟังได้ว่าเหตุเพลิงไหม้อาคารเกิดขึ้นตอน 15.00 น. ภายหลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตอน 13.00 น. ตลอดจนผู้ก่อเหตุทุบทำลายและเผาอาคารก็มีประมาณ 10 คน ทั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่ปิดบังอำพรางใบหน้า และกลุ่มที่ทำในลักษณะมีเจตนาก่อเหตุร้ายแล้วหลบหนีไปทันที โดยไม่มีประชาชนอื่นใดร่วมกระทำการ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งหกไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่าเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้องเป็นผลมาจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลและเป็นการก่อการร้ายเพื่อหวังผลทางการเมืองตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหก ดังนั้นจำเลยทั้งหกจึงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. มีความเห็นในเบื้องต้นว่าจำเป็นจะต้องศึกษาและวิเคราะห์โดยละเอียดว่าจะต้องนำคำวินิจฉัยนี้มาเป็นแนวทางในการปรับปรุงเกณฑ์ในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยหรือไม่ เนื่องจากข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีมีความแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งหากข้อเท็จจริงมีความคล้ายคลึงกัน อาจจำเป็นต้องใช้เกณฑ์ที่เหมือนกัน จึงได้สั่งการให้สายกฎหมายและคดี เร่งศึกษาวิเคราะห์โดยเร็วเพื่อปรับปรุงแนวปฏิบัติการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เงื่อนไขความคุ้มครอง และข้อยกเว้นความรับผิดตามสัญญาประกันภัยให้เกิดความชัดเจน เป็นธรรม และเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

"คำพิพากษาศาลฎีกา ถือเป็นคำพิพากษาที่มีลำดับชั้นสูงสุดและเป็นที่ยุติ ซึ่งบริษัทประกันภัย ทั้ง 6 บริษัท ต้องเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 6 บริษัทประกันภัยมีฐานะการเงินมั่นคง และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาดังกล่าวได้มีการตั้ง Outstanding Loss ไว้แล้วตั้งแต่ปี 2553 จึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท" เลขาธิการ คปภ. กล่าว

ศาลฎีกาพิพากษากลับชั้นต้น-อุทธรณ์สั่ง จำเลยทั้ง 6 จ่ายสินไหมทดแทนโจทก์

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2562 ที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีประกันภัย หมายเลขดำ 8132/2561 ที่โจทก์ทั้ง 3 ราย ยื่นฟ้องจำเลย 6 ราย ในความผิดเรื่องประกันภัย โดยโจทก์ทั้ง 3 ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ว่า โจทย์ทั้ง 3 ทำสัญญาประกันภัยทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไว้กับจำเลยทั้ง 6 คุ้มครองการเสี่ยงภัยทุกชนิด (ตามที่ระบุข้างต้น)

ต่อมา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบจำนวน บุกเข้าทุบทำลายและวางเพลิงเผา อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ได้รับความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ  

โดยโจทก์ที่ 1 (ตลท.) ได้รับความเสียหาย 91,107,577.53 บาท โจทก์ที่ 2 (บริษัทศูนย์รับฝากทรัพย์) ได้รับความเสียหาย 380,059 บาท และโจทก์ที่ 3 (บริษัท แฟมิลี่ โนฮาว) ได้รับความเสียหาย 14,568,504.27 บาท โจทย์ทั้ง 3 จึงแจ้งความเสียหายให้จำเลยทั้ง 6 ทราบ และแจ้งว่า จะดำเนินการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้งาน

เมื่อจำเลยทั้ง 6 ส่งบุคคลผู้มีชื่อสำรวจและประเมินความเสียหาย แล้วมีหนังสือแจ้งปฎิเสธความรับผิด เป็นการโต้แย้งสิทธิ ทำให้โจทก์ทั้ง 3 รายเสียหาย โจทย์ทั้ง 3 จึงบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้ง 6 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่จำเลยทั้ง 6 เพิกเฉิกไม่ชำระ 

ขณะที่ จำเลยที่ 1-6 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้ง 6 ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะความเสียหายจากการวางเพลิงเผาอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ และทรัพย์ของโจทก์ทั้ง 3 ที่อยู่ในอาคารของโจทก์ที่ 1 เกิดจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาล และเป็นการก่อการร้ายเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยทั้ง 6 ไม่ต้องรับผิดความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ และควันไฟ มิใช่ภัยเนื่องจากการกระทำอันป่าเถื่อนและกระทำด้วยเจตนาร้านมุ่งหวังเพื่อทำลายตัวทรัพย์ที่เอาประกันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำของกลุ่ม นปช. ที่กระทำโดยมุ่งหวังให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง และเป็นการกระทำโดยมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเป็นสำคัญ โจทก์ทั้ง 3 เรียกค่าเสียหายสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืนให้ยกฟ้อง ต่อมา โจทย์ที่ 1-3 ได้ยื่นฎีกา 

จนที่สุด ศาลฎีกาได้พิพากษากลับ โดยให้จำเลยที่1 ชดใช้ 26.7 ล้านบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้ 17.8 ล้านบาท จำเลยที่ 3 ชดใช้ 13.35 ล้านบาท จำเลยที่ 4 ชดใช้ 13.35 ล้านบาท จำเลยที่ 5 ชดใช้ 8.9 ล้านบาท และจำเลยที่ 6 ชดใช้ 8.9 ล้านบาท ให้ "ตลาดหลักทรัพย์ฯ โจทก์ที่ 1 " พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ 

ขณะที่ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 17,250 บาท จำเลยที่ 2 ชดใช้ 11,500 บาท จำเลยที่ 3 ชดใช้ 8,625 บาท จำเลยที่ 4 ชดใช้ 8,625 บาท จำเลยที่ 5 ชดใช้ 5,750 บาท และจำเลยที่ 6 ชดใช้ 5,750 บาท ให้กับ "บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ โจทก์ที่ 2" พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ 

ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ 2.7 ล้านบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้ 1.8 ล้านบาท จำเลยที่ 3 ชดใช้ 1.35 ล้านบาท จำเลยที่ 4 ชดใช้ 1.35 ล้านบาท จำเลยที่ 5 ชดใช้ 9 แสนบาท และจำเลยที่ 6 ชดใช้ 9 แสนบาท ให้กับ "บริษัท แฟมิลี่ฯ โจทก์ที่ 3" พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปกว่าจะชำระเสร็จ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :