นายตติยภัทร์ ปิติเศรษฐพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดสตูล พรรคเพื่อไทย อดีตเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษากรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และอินโดนีเซีย (TIMBS) เปิดเผยหลังการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฮาลาล (Halal Economy) ของประเทศไทย
นายตติยภัทร์กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการฮาลาล เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางฮาลาลแห่งอาเซียน (ASEAN Halal Hub)” ภายในปี 2570 ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และขยายการส่งออกสินค้าฮาลาลของไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านอาหาร การแพทย์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ
“การส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลต้องยึดหลักการของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องควบคู่กับการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์ร่วมกัน ผ่านแนวคิด ‘Halal for All’ ที่เน้นความสะอาด ปลอดภัย และมีจริยธรรมในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งพี่น้องมุสลิมและประชาชนทั่วไป” นายตติยภัทร์กล่าว
ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ ยังได้เสนอให้รัฐบาล หน่วยงานราชการ และภาคเอกชน ร่วมกันเดินหน้าพัฒนามาตรฐานสินค้าและบริการด้านฮาลาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศชั้นนำของโลกด้านอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ประกาศไว้ในงาน “Halal Inspirium” ว่าจะผลักดันเศรษฐกิจฮาลาลไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีบทบาทโดดเด่นบนเวทีโลก