น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ แสดงความคิดเห็นเนื่องในโอกาสรำลึกการสังหารประชาชนกลางกรุงในเดือน พฤษภา 35 ว่า แม้ในเวลานั้นตนไม่ได้มีส่วนร่วม แต่จากการค้นคว้าศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชน ทำให้ได้พบความจริงว่า "เกมแย่งชิงอำนาจ" ประชาชนผู้บริสุทธิ์และมีศีลธรรมถูกรังแก ทำร้าย เข่นฆ่า รวมทั้งกล่าวหาใส่ร้ายในเรื่องที่ไม่จริง
ด้านผู้กระหายอำนาจจะกระทำการได้ทุกอย่างแบบไร้คุณธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราทุกคนต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการยุติธรรม และ กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อภาครัฐให้ยึดโยงกับประชาชน ให้อำนาจตุลาการต้องเป็นของประชาชน เช่นเดียวกับอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร
ในสิบปีที่ผ่านมาถ้ามองอย่างผิวเผินจะยังคงเห็นว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกกระทำและเป็นผู้สูญเสีย และถูกกล่าวหาให้เป็นผู้ร้าย (มีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อการโฆษณาชวนเชื่อจนเห็นถังดับเพลิงเป็นถังแก๊ส จับคนถือถังดับเพลิงขังคุกฟรี 4 ปี) ในขณะที่ผู้ร้ายตัวจริงกอดอำนาจที่แย่งชิงมาจากประชาชน
ซึ่งจุดนี้กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อภาครัฐและกระบวนการยุติธรรมต้องได้รับการแก้ไข การนำประชาชนไปขังโดยไม่มีความผิด มีแต่ความเชื่อจากการโฆษณาชวนเชื่อเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นเช่นนี้วันใดวันหนึ่งกระบวนการยุติธรรมด้วยความเชื่อแบบนี้ก็อาจจะมาถึงตัวทุกคนในประเทศไทยได้
จากการศึกษาเหตุการณ์นี้แม้ประชาชนจะถูกกระทำอย่างสาหัสแต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งจะเห็นว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาในช่วงกว่า 1 ทศวรรษของประชาชน มีชัยชนะที่ทำให้คนทั้งชาติได้ตื่นรู้ถึงความไม่เป็นธรรมที่ถูกกระทำโดยกลุ่มผู้ปกครองเผด็จการไม่สามารถขยายความคิดชนะใจประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้ แต่ใช้เล่ห์ เพทุบาย แย่งชิงอำนาจประชาชนมา รวมทั้งคนส่วนใหญ่สามารถเขื่อมโยงได้ว่า ปัญหาใกล้ตัวที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อคุณภาพการดำรงชีวิตของคนทั้งชาติล้วนมาจากสาเหตุหลักคือการถูกบังคับปกครองโดยกลุ่มเผด็จการที่ไม่ได้มีส่วนยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง เดียร์ก็เป็นหนึ่งคนที่เห็นความผิดปกติของเหตุการณ์นี้ที่มีการกลับขาวเป็นดำผู้บริสุทธิ์ถูกทำให้เป็นผู้ร้าย ส่วนผู้ร้ายตัวจริงยึดครองคำว่า "คนดี"
เหตุการณ์ล้อมฆ่าประชาชนเมื่อปี 2553 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่สิ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ การที่คนไทยหันมาสนใจการเมือง โดยเฉพาะประชาชนฐานรากและคนรุ่นใหม่ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพสูงอย่างหนึ่งที่จะทำให้กลุ่มเผด็จการอนุรักษ์นิยมพ่ายแพ้ เพราะสิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุดคือการที่คนทั้งชาติรู้ทันเล่ห์กลที่สอดแทรกมากับการใช้อำนาจปกครองนั่นเอง
หากศึกษาประวัติศาสตร์ภาคประชาชนจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ปี 2475 เรื่อยมาจะเห็นว่าในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง ที่ทำให้เผด็จการเดินได้อย่างยากลำบาก เพราะการต่อสู้ภาคประชาชนในช่วง 10 ปีสุดท้ายนี้เน้นการส่งเสริมและสื่อสารด้านข้อมูลเพื่อให้คนในชาติหันมาสนใจการเมือง จนคนค่อนประเทศหันมาสนใจการเมืองและสามารถเชื่อมโยงทุกสิ่งที่มีผลต่อการดำรงชีวิตไปสู่การใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้องของเผด็จการได้อย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ว่าเราจะต้องแลกชัยชนะนี้กับความสูญเสียวีรชนพี่น้องพ่อแม่เราไปจำนวนมาก แต่สิ่งที่ได้กลับมาต้องถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย
ตนในฐานะคนรุ่นใหม่ขอกราบคารวะหัวใจวีรชนนักต่อสู้ทุกๆ ท่านที่ได้ส่งต่อชัยชนะของประเทศไทย ซึ่งตนถือว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าสู่คนรุ่นเดียและรุ่นต่อไป กราบขอบพระคุณอีกครั้งในหัวใจนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่