ไม่พบผลการค้นหา
‘เบียร์’ เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมาตลอดหลายศตวรรษ เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ตลาดเบียร์ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 5.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และมันกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง บวกกับแตกประเภทออกมามากมายให้ตรงใจผู้ดื่ม

สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันเราเริ่มรู้จักกับเครื่องดื่มที่เป็นมิตรต่อสุขภาพนามว่า ‘เบียร์ไร้แอลกอฮอล์’ หรือ ‘มอลต์ดริ้งค์’ แต่ต้องบอกก่อนว่า ทั้งเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ และมอลต์ดริ้งค์ คือเครื่องดื่มประเภทเดียวกัน ทว่าเรียกแตกต่างออกไปตามการทำตลาดของแต่ละแบรนด์ หรือความนิยมในแต่ละประเทศ

ความจริงแล้วเครื่องดื่มประเภท ‘ไร้แอลกอฮอล์’ (Alcohol-Free, Non-Alchoholic) ก็ไม่ได้ปราศจากแอลฮอล์เสียทีเดียว แต่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์น้อยนิดจนกฎหมายอนุญาตให้ใช้คำว่า ‘ไร้แอลกอฮอล์’ สำหรับเรียกผลิตภัณฑ์ หรือใช้ในการโฆษณาได้ เช่น สหรัฐอเมริกาอนุญาตให้เรียกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบน้อยกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์ว่า ‘ไร้แอลกอฮอล์’

ขณะเดียวกันกฎหมายของสหราชอาณาจักรระบุคำว่า ‘ไร้แอลกอฮอล์’ กับเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์น้อยกว่า 0.05 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนบางประเทศในสหภาพยุโรปสามารถเรียกผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบไม่เกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์ว่า ‘ไร้แอลกอฮอล์’ เช่นเด���ยวกับอเมริกา 

กลับมายังประเทศไทย ด้านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต (อย.) ให้นำเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ไปขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์อาหารตามกฎหมาย และต้องมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบไม่เกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ อย. อนุญาตให้ทำการโฆษณาได้ แต่ต้องแสดงข้อความ ‘เครื่องดื่มมอลต์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หรือสกัดแอลกอฮอล์ออก’ ควบคู่ทุกครั้ง และต้องไม่โฆษณาเชื่อมโยงถึงผลิตภัณฑ์เบียร์ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ประเภทอื่น

3.jpg
  • เบียร์ไร้แอลกอฮอล์บางยี่ห้อจะมีการเติมรสชาติต่างๆ ลงไปเช่น แอปเปิ้ล เลม่อน หรือสตรอเบอร์รี

รสชาติเหมือนเบียร์ วิธีการผลิตก็คล้ายเบียร์ 

แม้ประวัติศาสตร์ของเบียร์ไร้แอลกอฮอล์จะไม่เนิ่นนานถึง 5,000 ปีก่อนคริสตกาลเหมือนเบียร์ปกติ แต่ก็ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1919 ซึ่งเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ถือกำเนิดจากการห้ามสุราในสหรัฐฯ ที่ไม่อนุญาตให้ทำการผลิต นำเข้า ขนส่ง หรือจำหน่ายสุรา โดยกฎหมายฉบับนี้ทยอยเกิดขึ้นทั่วแดนลุงแซม เริ่มต้นจากรัฐแคนซัสในปี 1881 จนกระทั่งครอบคลุมทั่วประเทศในปี 1920

ในปี 1919 ผู้ผลิตเบียร์อย่าง Anheuser-Busch, Miller หรือ Schlitz เริ่มทำเครื่องดื่มที่เรียกว่า ‘ใกล้เคียงกับเบียร์’ (Near Beer) โดยออกแบบให้เครื่องดื่มดังกล่าวมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบน้อยกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อต่อสู้กับกฎหมายในสมัยนั้น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อจะดึงแอลกอฮอล์ออกมาพวกเขาต้องต้ม หรือกรองเบียร์ที่ปรุงออกมาแบบปกติอีกครั้ง ซึ่งหลายฝ่ายบอกว่าจะทำให้เบียร์มีรสชาติแย่ลง แต่กระบวนการผลิตก็มีการพัฒนาเรื่อยมา จนปัจจุบันวิธีในการทำเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ แบ่งออกหลักๆ เป็น 3 แบบด้วยกัน

  1. สกัดแอลกอฮอล์ออกจากเบียร์ คือกระบวนการผลิตเบียร์ตามปกติ ก่อนใช้การสกัด หรือการทำให้แอลกอฮอล์ระเหยออกไปภายหลัง 
  2. หมักด้วยอุณหภูมิต่ำ หมักเบียร์ด้วยอุณหภูมิต่ำเป็นเวลานาน และควบคุมไม่ให้เกิดปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้น แต่จะมีกลิ่น และรสชาติลดลงจากเบียร์ปกติ 
  3. ไบโอรีแอคเตอร์เทคโนโลยี เป็นกระบวนการผลิตเฉพาะของบาวาเรีย โดยควบคุมการหมักด้วยไบโอรีแอคเตอร์ หยุดยั้งเซลล์ของยีสต์ไม่ให้สร้างโครงสร้างโมเลกุลที่จะเรียงตัวกัน และเกิดเป็นแอลกอฮอล์ 

นานาชาติกำลังนิยมเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ 

เมื่อเปรียบเทียบกับเบียร์ปกติแล้ว มีผลวิจัยบอกว่า เบียร์ไร้แอลกอฮอล์มีประโยชน์กว่าสุขภาพกว่ามาก โดยช่วยเพิ่มจำนวนสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้การแข็งตัวของเลือดช้าลง และมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6 ที่ร่างกายต้องการ 

5.jpg
  • เบียร์ไร้แอลกอฮอล์วางคู่กับเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ในร้านสะดวกซื้อที่ประเทศอินโดนีเซีย

นอกเหนือจากคุณประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ยังถูกมองว่า เป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค และกระแสสุขภาพที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ก็เป็นผลให้ตลาดเบียร์ไร้แอลกอฮอล์เจริญเติบโตตามไปด้วย 

ข้อมูลจาก Global Market Insight แสดงให้เห็นว่า มูลค่าตลาดเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ในทวีปเอเชียแปซิฟิค มีมูลค่าถึง 1.5 พันล้านเหรียฐสหรัฐฯ ในปี 2016 ซึ่งประเทศที่นิยมบริโภคเบียร์ไร้เแอลกอฮอล์เป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคนี้คือ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น 

นอกจากนี้ เมื่อข้ามฝากไปยุโรปจะพบว่า ตลาดเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ของสหราชอาณาจักรเติบโตกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

ในขณะที่งานวิจัยจาก Digital Journal ที่คาดการณ์อัตราการเติบโตของเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ทั่วโลกบอกว่า ในปี 2023 มูลค่าทางการตลาดของเบียร์ไร้แอลกอฮอลล์ในตะวันออกกลางจะสูงถึง 533 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 9.30 เปอร์เซ็นต์ 

สำหรับประเทศไทยคาดว่า ตลาดเบียร์ไร้แอลกอฮอล์จะเติบโตได้อีก โดยนายอาชว มหามงคล กรรมการผู้จัดการบริษัท กัปตัน บาร์เรล จำกัด คาดคะเนสถานการณ์ของเบียร์ไร้แอลกอลฮอล์ไว้ว่า “ในช่วงหลังที่กระแสรักสุขภาพแพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้ยอดจำหน่ายเบียร์ลดลง ขณะที่ความนิยมเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยค่อยๆ ขยับตัวสูงขึ้น”

นายอาชวยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เบียร์ไร้แอลกอฮอล์เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบและหลงใหลความนุ่มลึก และหอมสดชื่นของเบียร์แต่ให้ความสำคัญกับร่างกาย เช่นนักกีฬา หรือผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ 


นักกีฬาโอลิมปิกดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง 

ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่ พย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปีที่ผ่านมามีการรายงานว่า นักกีฬาโอลิมปิกชาวเยอรมันดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์มากกว่า 1,000 แกลลอน

2.jpg
  • ไลนัส แสตรสเซอร์ นักสกีชาวเยอรมัน ผู้ดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์หลังการฝึกซ้อม

ตามคำบอกกล่าวของ โยฮันเนส เชอร์ (Johannes Scherr) แพทย์ประจำทีมสกีของเยอรมัน เบียร์ไร้แอลกอฮอล์จะช่วยให้นักกีฬาฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และฝึกซ้อมได้หนักมากขึ้น

ไลนัส แสตรสเซอร์ (Linus Strasser) นักสกีมืออาชีพจากเยอรมันบอกว่า เบียร์ไร้แอลกอฮอล์รสชาติดี และดีต่อร่างกาย พร้อมสมทบว่าวีทเบียร์ที่ปราศจากแอลกอฮอล์เป็นอะไรที่ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง และมีสารไอโซโทนิกจึงเหมาะกับนักกีฬาอย่างพวกเขา 

แม้แสตรสเซอร์ จะพลาดท่าและไม่ได้เหรียญรางวัล แต่ในแข่งขันครั้งนั้นทัพนักกีฬาจากเมืองเบียร์ กวาดไปทั้งหมด 14 เหรียญทอง 10 เหรียญเงิน และ 7 เหรียญทองแดง โดยผลรวมได้อันดับสองรองจากนอร์เวย์ประเทศเดียวเท่านั้น

ย้อนกลับไปที่นายแพทย์ประจำทีมอย่าง เชอร์ ได้ทำการศึกษาในปี 2009 กับนักวิ่งในมิวนิกมาราธอน และพบว่านักกีฬาที่ดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ก่อนการแข่งขัน และ 2 สัปดาห์หลังการแข่งขัน มีอาการอักเสบและการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจน้อยลงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ซึ่งนายแพทย์ผู้นี้ยกความดีความชอบให้สารต้านอนุมูลอิสระ และโพลีฟีนอลในเบียร์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

อ้างอิง:

On Being
198Article
0Video
0Blog