ก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก กรณีการตั้งข้อสงสัยการได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า
จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจ อดีตนายกฯทักษิณ ทำอะไรผิด?
การกลับมาประเทศไทยของ อดีตนายกฯทักษิณ หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในช่วงท้ายของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น คือ คุณวิษณุ เครืองาม เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567
หลังจากกลับมา ดร.ทักษิณ เข้ารับโทษตามกระบวนการที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
เนื่องจากว่า อดีตนายกฯทักษิณ มีโรคประจำตัว หลายโรค ประกอบกับความเครียดสูงมากในวันที่เข้าเรือนจำ จึงขอเข้ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นการฉุกเฉิน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ผลัดกันเข้าเวรควบคุมตัวอยู่ตลอด และได้รับอนุญาตให้รักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ จนถึงเกณฑ์ที่ได้รับการพักโทษสำหรับนักโทษที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่ได้รับการพักโทษในปีเดียวกันราว 7,500 คน ซึ่งไม่ต่างกับนักโทษหลายคนที่ป่วยเรื้อรัง ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือโรงพยาบาลอื่นๆ นับเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี
การกล่าวหาว่า ดร.ทักษิณ ได้รับการอนุญาตให้พักรักษาตัวที่ โรงพยาบาลตำรวจ นาน เป็นการได้รับ“สิทธิพิเศษ” ที่ไม่ควรมี ผมขอถามกลับว่า คนอายุ 75 มีโรคประจำตัวหลายโรค และเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ถ้าเกิดโรคกำเริบและช็อคตายในเรือนจำ ใครจะรับผิดชอบไหว ไม่ว่า ผบ.เรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รมว.ยุติธรรม แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี จะมีข่าวลือ การซุบซิบนินทา การโจมตีต่างๆนานา จนทำให้ประเทศเกิดความวุ่นวายได้
สังคมควรกลับมาคิดใหม่ ว่าการที่นักโทษได้รับการปฏิบัติดี แท้จริงไม่ได้มีปัญหา แต่สิ่งที่มีปัญหา คือการที่นักโทษที่เจ็บไข้ได้ป่วยในเรือนจำ ในยามเกิดเหตุโรคกำเริบฉุกเฉิน ในตอนกลางคืน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องขังไปรักษา จะต้องรอจนถึงตอนเช้า หลายคนเสียชีวิตเพราะได้รับการรักษาไม่ทัน เรื่องนี้ต่างหาก ที่ต้องกระตุ้นกรมราชทัณฑ์ ให้ออกกฎระเบียบใหม่ ให้โอกาสนักโทษคนอื่นๆ ที่เป็นคนธรรมดา ได้รับการรักษาช่วยเหลือชีวิตได้ทันท่วงที ในยามที่โรคภัยกำเริบ
ผมจึงขอเรียกร้องให้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น ยุติการพุ่งเป้าโจมตี ดร.ทักษิณ บุคลาการของกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจในกรณีนี้เสียที เช่นกันกับ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ที่ควรทำหน้าที่ปกป้องผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ ให้ทุกคนควรได้สิทธิ ตามเจตนารมณ์ของการดำรงอยู่ขององค์กร มิใช่มุ่งเป้าในการร้องเรียน เล่นงานคนที่ได้รับสิทธิ จนถูกมองในแง่ลบ
สังคมไทยควรก้าวพ้นเรื่องนี้เสียที หยุดส่งต่อมรดกความแค้นแบบไม่มีเหตุไม่มีผลของตัวเองให้คนรุ่นถัดไป เรามีเรื่องสำคัญกว่านี้ให้วิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ และ ร่วมกันผลักดันให้เห็นผลสำเร็จ เช่น การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ และ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐบาล และ รัฐสภา กำลังดำเนินการครับ