น.ส.ชลิดา จันทร์สิริพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลพิจารณามาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยเฉพาะช้อปช่วยชาติ โดยไม่ต้องกำหนดเฉพาะบางประเภทสินค้า และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ 50,000 บาท จากเดิมที่รัฐบาลเคยทำที่ 30,000 บาท นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลพิจารณานำภาษีนำเข้าสินค้ากลับมากระตุ้นการใช้จ่ายของคนไทยที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ เนื่องจากขณะนี้ไม่สามารถเดินทาง หรือซื้อสินค้าได้ ดังนั้นนอกจากการลดราคาสินค้าในประเทศแล้วควรนำภาษีนำเข้าเป็นกลับคืนให้กับนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็นพิเศษขึ้นมา
- ชลิดา จันทร์สิริพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
เช่นเดียวกับนายกิรวัฏ ชื่นวิเศษ ผู้จัดการฝ่ายบริหารกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ฝ่ายการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเร่งพิจารณามาตรการช้อปช่วยชาติ เพื่อกระตุ้นให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น เพราะลูกค้าของโรบินสันส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในต่างจังหวัด พบว่าการซื้อสินค้ายังไม่ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ แม้จะมีการผ่อนปรนกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปบ้างแล้ว
- กิรวัฏ ชื่นวิเศษ ผู้จัดการฝ่ายบริหารกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ฝ่ายการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด
ทั้งนี้หากมีการพิจารณามาตรการช้อปช่วยชาติขอให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้ามากขึ้น เช่น สามารถนำไปลดหนย่อนภาษีได้ถึง 50,000 บาท และอีกหนึ่งแนวทางคือให้รัฐบาลให้เงินเพิ่มพิเศษเช่นเดียวกับการออกมาตรการ “เที่ยวปันสุข” โดยมีเงินเพิ่มพิเศษจากฝั่งรัฐบาล ขณะที่ผู้ประกอบการก็พร้อมที่จะเพิ่มเงินช้อปพิเศษให้กับลูกค้าเพิ่ม ซึ่งเชื่อว่าจะยิ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญให้คนกลับมาใช้จ่ายได้เร็วยิ่งขึ้น
- จิราพร ศรีสอ้าน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานส่งเสริมการตลาด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด
ทางด้านนางจิราพร ศรีสอ้าน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานส่งเสริมการตลาด บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการทางภาษียังเป็นข้อเสนอสำคัญที่ทางกลุ่มผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าอยากให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด ทั้งในเรื่องการลดภาษีนำเข้า ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าผ่านมาตรการช้อปช่วยชาติ เนื่องจากขณะนี้ลูกค้าของสยามพิวรรธน์ ร้อยละ60 เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และอีกร้อยละ 40 เป็นคนไทย ขณะที่ในส่วนของคนไทยพบว่าเริ่มกลับมาแล้วแค่ร้อยละ 30-40 เท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเข้ามาช่วยจูงใจให้คนกลับมาใช้จ่ายโดยเร็ว
