ไม่พบผลการค้นหา
วงเสวนา ชี้ กมธ.ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะโซเชียลฯ และคนหน้าใหม่เข้าไปทำงาน - ช่อ เชื่อ กมธ.จะเรียกศรัทธาต่อรัฐสภา ใช้ประชาธิปไตยแก้ไขปัญหา แทนรัฐประหาร - กษิต แนะลดจำนวน เอาเฉพาะพวกรู้จริง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (ถนนสามเสน) ได้มีการจัดงานเสวนา คณะกรรมาธิการรัฐสภา ประชาชนหวังพึ่งพาได้แค่ไหน? โดยผู้เข้าร่วมได้แก่ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม

‘ช่อ’ เชื่อ กมธ.แก้ปัญหาให้ประชาชนได้ 

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเมืองยุคไหนเลยที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) มีบทบาทมากเท่านี้ คำถามคือทำไม กมธ.จึงกลายเป็นกลไกที่เคลื่อนไหวและมีบทบาทขึ้นมา โดยขอตั้งข้อสังเกต 2 ประการ คือ

1.การเมืองยุคนี้แบ่งเป็นออกเป็น 2 ฝ่าย เกิดเสียงปริ่มน้ำ ฝ่ายค้านทำงานในสภา เป็นการอภิปรายแต่ไม่มีผลฉับพลัน พูดง่ายๆ ว่าในขณะที่สภาหรือคณะรัฐมนตรีแสดงผลงานของรัฐบาล แต่ กมธ.เป็นพื้นที่แสดงผลงานของฝ่ายค้าน

2.กมธ.มีความพยายามที่จะทำอะไรแปลกใหม่ และน่าสนใจมากขึ้น เช่น รับเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม การเรียกผู้เกี่ยวข้องและบุคลากรภาครัฐมาสอบถาม เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่า เรื่องที่ร้องเรียนเป็นอย่างไร เดินหน้าไปถึงไหน

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีผลกับชีวิตประชาชนอย่างมาก ก็ได้เกิดการปรับตัวของ กมธ. ตัวอย่างเช่น กมธ.ยุติธรรมฯ ได้ทำแฟนเพจเฟซบุ๊กและถ่ายทอดสดในประเด็นที่น่าสนใจ , กมธ.กฎหมายฯ เชิญเจ้าหน้าตำรวจมาสอบถามเรื่องการทำร้ายนักกิจกรรม มีการไลฟ์สด คนดูประมาณ 2-3 หมื่นคน น่าเสียดายที่ต้องลบคลิปออก เพราะตำรวจแจ้งว่า เป็นข้อมูลลับของการพิจารณาคดี

“เราเชื่อว่าการไลฟ์ทำให้บรรยากาศของการสอบถามเป็นไปด้วยดี เพราะทุกคนรู้ว่าประชาชนดูอยู่ อันนี้เป็นมิติใหม่ของการทำงาน”

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า แน่นอน กมธ. ไม่มีอำนาจบังคับในคดีความ ไม่มีสิทธิไปยุ่ง แต่เราสามารถเรียกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม เพื่อให้เห็นถึงการทำงาน การตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อคดีความ เนื่องจากบันทึก รายงาน กมธ.เป็นหลักฐานที่นำไปใช้ได้ในคดี

นอกจากนี้ สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ยังกล่าวว่า บางเรื่องสามารถแก้ไขได้ในชั้น กมธ. เช่น กรณีสันติบาล ทำหนังสือไปยังสถาบันศึกษาขอข้อมูลนักศึกษามุสลิม สมาพันธ์นักศึกษามุสลิมฯ จึงส่งข้อร้องเรียนมายัง กมธ. ว่า กรณีนี้เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการเลือกปฏิบัติทางศาสนา ขัดรัฐธรรมนูญ กมธ.จึงเรียกสันติบาล และนักศึกษามาคุยกัน สุดท้ายสันติบาลยอมรับว่าผิดจริง ได้มีการขอโทษนักศึกษาและให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก

หวังศรัทธาต่อประชาธิปไตยกลับมา

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เชื่อว่าในยุค 20 ปีที่ผ่านมา เราอยู่ในความวุ่นวายทางการเมือง คนเกลียดกันสุดขั้วทางการเมือง ความวุ่นวายทางการเมืองแบบนี้ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในประชาธิปไตยและรัฐสภา คนจำนวนมากไม่เชื่อว่ารัฐสภาสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ เป็นปรากฏการณ์เนื่องจากความแตกแยกรุนแรงทางการเมือง เมื่อมองกลับมา การทำงานของ กมธ. 35 คณะ มีความเชี่ยวชาญในการดูแลที่แตกต่างออกไป สามารถทำงานตอบโจทย์ประชาชนได้ตรงจุดมากกว่าสภาใหญ่ 

นอกจากนี้ยังทำให้เห็นว่า นักการเมืองหลายพรรคทำงานร่วมกันได้ กลไกนี้จึงสำคัญมาก ไม่ใช่แค่การตอบสนองความทุกข์ยากได้เร็วขึ้น แต่เป็นสัญลักษณ์สำคัญว่า พรรคการเมืองหลายพรรคทำงานร่วมกันได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชน สิ่งสำคัญคือความเชื่อมั่นของรัฐสภา ประชาธิปไตยตัวแทน แบบรัฐสภา คือทางออกของประเทศ หาก กมธ. เข้มแข็ง ทำงานเพื่อตอบผลประโยชน์ประชาชนได้ ความศรัทธาจะเกิดขึ้นได้ แล้วประชาชนจะไม่ออกไปหาเส้นทางอื่น เช่น การรัฐประหาร

“ถ้าเราทำให้ประชาชนเชื่อว่า รัฐสภาคือทางออก การรัฐประหาร การประท้วงนองเลือดจะไม่เกิด” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

เสวนา กมธ รัฐสภาฯ

‘กษิต’ ชี้ กมธ.มีมากเกินความจำเป็น

นายกษิต ตั้งคำถามว่า จำเป็นต้องมีถึง 35 กมธ.หรือไม่ เป็นการแบ่งชิ้นเค้กขนมมากกว่า เพื่อให้มีที่นั่งสำหรับพวก ส.ส.ตกสำรวจ หรือบางท่านมากกว่าเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ

นายกษิต กล่าวว่า จำนวน 35 คณะนั้นมากเกินไปและเกินความจำเป็น ซึ่งหากพิจารณาจากประเด็นสำคัญจริงๆ อาจทำให้ กมธ.มีจำนวนน้อยลงกว่านี้ได้ โดยปัจจุบัน เรามีปัญหาเรื่องการปรองสมานฉันท์ ความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงทรัพยากรทางธรรมชาติ การศึกษา การเเพทย์ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ทั่วถึง กระบวนการยุติธรรม กับดักพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และการวิจัย รวมถึงการปฏิรูปข้าราชการ กองทัพและตำรวจ

หวั่นเป็นช่องหากินของพวกไม่รู้จริง

นายกษิต กล่าวว่า องค์ประกอบของ กมธ.เปิดช่องให้คนที่ไม่มีความรู้ความสามารถในสายๆ นั้นเข้ามาหาประโยชน์ ซึ่งถือเป็นการทุจริตอีกประเภท

“ผมคิดว่า กมธ.ส่วนใหญ่ที่ผ่านมา ข้าราชการเป็นกระสอบทราย เมื่อรัฐมนตรีถูกเชิญชี้แจง และไม่มาด้วยตัวเอง กลายเป็นว่าข้าราชการชั้นผู้น้อย ไปปรากฏตัวเพื่อให้ ส.ส.ได้ระบายอารมณ์ กมธ.กลายเป็นเวทียุทธหัตถี เพราะฉะนั้นเราจะเปลี่ยนวินัยการทำงานอย่างไร เพื่อให้เวที กมธ. มีความทันสมัย เคารพซึ่งกันและกัน และเชิญคนที่สามารถชี้แจงได้”

อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการชี้แจง ข้าราชการไม่มีสิทธิมาบอก กมธ.ว่า "เป็นความลับราชการ" เนื่องจากสถานะ ส.ส.อยู่เหนือข้าราชการ เพราะฉะนั้นต้องมีความโปร่งใส เช่น การซื้ออาวุธ ถือเป็นความลับไม่ได้ ต้องเปิดเผย

เมื่อถูกถามถึงความแตกต่างระหว่าง กมธ.ในอดีตและปัจจุบัน

นายกษิต กล่าวว่า วันนี้มีพรรคอนาคตใหม่เข้ามา เปลี่ยนรูปโฉมไปหมด บุคลากรหลายท่านก็โดดเด่น ในสมัยก่อนๆ ไม่มี แล้วที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไปฟาดกันใน กมธ.แต่ฟาดในที่ประชุมใหญ่ เพราะดาราเยอะ

เสวนา กมธ รัฐสภาฯ

‘สุรพงษ์’ ติง กมธ.บางคน เอาเรื่องส่วนตัวนำส่วนรวม

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า กมธ.เป็นช่องทางให้ประชาชน สามารถใช้สิทธิร้องเรียน ชี้แจงปัญหาของตัวเองได้โดยตรง ผิดกับการไปร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งสุดท้ายเรื่องมักจะเงียบ

กมธ.ชุดปัจจุบัน มีความน่าสนใจและเคลื่อนไหวมากขึ้น เนื่องจาก 2 ประเด็นสำคัญ

1.ที่ผ่านเราไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เกิดจากการเเต่งตั้ง ส่งผลให้การตรวจสอบรัฐเป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ กระทั่งเมื่อมีการเลือกตั้ง ปัญหาที่คาอยู่จำนวนมากถึงได้มีโอกาสเเสดงออก

2.ประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลง พรรคอนาคตใหม่จึงมีโอกาสเข้ามาทำงาน กล้าทำสิ่งใหม่ๆ ทำให้ประเด็นของประชาชนได้ถูกสื่อสารนำเสนอออกมา

อย่างไรก็ดี นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เรื่องที่ กมธ.ได้รับความสนใจจากสังคมทุกวันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งที่การทำงานของ กมธ. คืองานส่วนรวม 

"มี กมธ. หลายท่าน เอาเรื่องส่วนตัวมานำเรื่องส่วนรวม" อดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น กล่าว