พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ณ ห้องประชุม สมช. เพื่อขับเคลื่อนแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งที่ขยายวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมรับทราบ สถานการณ์โลกและภูมิภาค ที่มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีทิศทาง ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมากขึ้นและขยายวงกว้าง
โดยเฉพาะประเทศไทย มีมูลค่าของเศรษฐกิจภาคทะเล ปี 57 สูงถึง 24 ล้านล้านบาท หรือช่วง ปี 50 - 58 มูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจภาคทะเลประมาณ ร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ แต่ผลประโยชน์ทางทะเลที่ประเทศไทยได้รับไม่ตกอยู่กับคนไทยในสัดส่วนที่ควรจะเป็น โดยปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่การสูญเสียผลประโยชน์ทางทะเลสุทธิ โดยเฉพาะการเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งรับทราบ โครงสร้างอัตรากำลังของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและแผนปฏิบัติการ ปี 63-65 ที่เน้นการดำเนินงานใน 5 กลยุทธ์ คือ
1) การเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง แก้ไขหรือบรรเทาปัญหา เหตุการณ์สาธารณภัยและการกระทำผิดกฎหมาย
2)การพัฒนาขีดความสามารถและมาตรฐานของบุคลากร
3) การพัฒนาสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก
4) การพัฒนาระบบควบคุมบังคับบัญชาและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
5) การประชาสัมพันธ์และการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
อย่างไรก็ดี ที่ประชุมเห็นชอบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล เพื่อเป็นกลไกทางวิชาการ สนับสนุนข้อมูลทางนโยบายและการขับเคลื่อนการปฏิบัติ พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้าอนุบัญญัติรองรับพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ขอให้คำนึงถึงทั้งมิติความมั่นคง มิติเศรษฐกิจทางทะเลและมิติของสุขภาพทางทะเลควบคู่ไปด้วยกัน ขณะเดียวกันต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนและต้องไม่ละเลยรับฟังผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อขยายพลังความร่วมมือในการฟื้นฟูและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลไปด้วยกัน