'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นร้อยละ 10 ในกลุ่มสินค้านำเข้ามูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 9.3 ล้านล้านบาท ที่ยังไม่เคยถูกเรียกเก็บภาษีมาก่อน เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน ที่จะถึงนี้
โดย 'ทรัมป์’ ออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ซึ่งมีความยาวถึง 4 ทวีตติดต่อกันว่า
“ตัวแทนของเราเพิ่งกลับมาจากการเจรจาเรื่องอนาคตการค้าจากจีน เราเคยคิดว่าเราได้ข้อตกลงกับจีนแล้วเมื่อ 3 เดือนก่อน แต่มันน่าเศร้าที่รัฐบาลจีนตัดสินใจต่อรองใหม่อีกครั้งก่อนการลงนาม ล่าสุด จีนเคยสัญญาว่า...
...จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในปริมาณมาก แต่ก็ไม่ได้ทำตามเช่นนั้น นอกจากนั้น 'สี' เพื่อนประธานาธิบดีของผมเคยกล่าวว่าเขาจะยุติการขายเฟนทานิล (ยาแก้ปวด) ให้กับสหรัฐฯ ซึ่งก็ไม่เกิดขึ้นและชาวอเมริกันหลายคนต้องตาย! การเจรจาการค้ายังดำเนินต่อไป...
...และระหว่างการเจรจา สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีในจำนวนที่มากขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 10 กับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะเริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้ การขึ้นภาษีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับภาษีร้อยละ 25...
...ในสินค้านำเข้ามูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เรายังคงตั้งตารอการเจรจาที่ดีกับจีนในเรื่องข้อตกลงทางการค้า และรู้สึกว่าอนาคตของทั้งสองประเทศจะเป็นสิ่งที่สว่างสดใส”
ตัวอย่างสินค้าในกลุ่มมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ทรัมป์อ้างถึง อาจเป็นสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์หลักของแอปเปิล อย่างไอโฟน สินค้าของเล่น รองเท้า และเสื้อผ้าต่างๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่ได้ออกมาประกาศรายละเอียดสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีอย่างเป็นทางการ
‘นีล ดัตตา’ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันวิจัย มาโคร เรเนซองส์ ในนิวยอร์ก กล่าวว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีดังกล่าวจะไปมีผลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย แต่จะส่งผลกระทบกับผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ
จากการประกาศขึ้นกำแพงภาษีดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ พุ่งตัวสูงขึ้น ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี กลับตกต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2559