ไม่พบผลการค้นหา
คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ผิดหวัง 'ประยุทธ์' ปรับ ครม. ไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ชี้ 'แบงก์ชาติ-เวิลด์แบงก์' ปรับลดจีดีพีไทย คนจนไทยเพิ่ม 1.5 ล้านคน แนะอย่าคิดแค่แจกเงิน ต้องเร่งแผนฟื้นเศรษฐกิจ

กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับการปรับคณะรัฐมนตรี ที่จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของไทยได้ ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เคยเสนอให้ปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจใหม่หมดเพราะผลงานที่ผ่านมาล้มเหลวอย่างหนัก ย่ำแย่ยิ่งกว่าสมัยสมคิดมาก โดยล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดคาดประมาณเศรษฐกิจไทยปี 2564 นี้เหลือเพียง 3% ในขณะที่เวิลด์แบงค์ปรับลดเหลือเพียง 3.4% โดยเวิลด์แบงก์ยังบอกว่าไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นถึง 1.5 คนจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดนี้ แต่รัฐบาลกลับไม่มีแผนงานฟื้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมเลย มีแต่คิดเรื่องการแจกเงินอย่างเดียว ซึ่งจะไม่สามารถทำให้ประชาชนมีรายได้อย่างยั่งยืนได้ อีกทั้งยังเพิ่มหนี้สาธารณะของไทยให้สูงขึ้น 

โดยล่าสุดมีความกังวลว่าการก่อหนี้ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เพื่อนำไปแจกเงินสะเปะสะปะอย่างมากจะทำให้รัฐบาลก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากแต่ประเทศไม่พัฒนาและไม่สร้างความมั่นใจ ประกอบกับผลตอบแทนของพันธบัตรในสหรัฐสูงขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวสูงมาก โดยเศรษฐกิจสหรัฐที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วในปีนี้น่าจะขยายตัวมากกว่าเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจจีนก็จะขยายตัวสูงมากเช่นกัน ในขณะที่เศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวได้อย่างต่ำเตี้ย จะทำให้เงินทุนไหลออกจากไทยมากขึ้น และได้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แม้ค่าเงินบาทอ่อนจะดีต่อการส่งออกของไทย แต่น่าเป็นห่วงว่าถ้าหากเงินทุนไหลออกมากเกินไป สถานะการเงินการคลังและเศรษฐกิจไทยอาจจะสั่นคลอนได้ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กลับมา โดยพล.อ.ประยุทธ์จะต้องคิดให้ครบทุกกรอบว่าจะสร้างความมั่นใจให้กลับมาได้อย่างไร 

แม้กระทั่งเรื่องวัคซีนที่จะเป็นตัวช่วยให้ประเทศไทยฟื้นเศรษฐกิจได้ รัฐบาลก็ยังสับสนไม่มีแผนงานที่แน่นอนในการฉีดให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ขนาดภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้า และ สภาอุตสาหกรรม ยังต้องออกมาเรียกร้องให้เอกชนสามารถจัดการเรื่องการกระจายการฉีดวัคซีนเองได้ โดยความล่าช้าในการกระจายการฉีดวัคซีนจะทำให้การเปิดประเทศเพื่อรองรับการท่องเที่ยวและการค้าการลงทุนต้องล่าช้าตามไปด้วย การบริหารจัดการของรัฐบาลที่สับสนกลายเป็นอุปสรรคในการฟื้นเศรษฐกิจไปเสียเอง

นอกจากนี้การที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์รับมือกับสถานการณ์ความวุ่นวายการเมืองในพม่ายิ่งทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก การไปพบกับผู้แทนเผด็จการพม่าในประเทศไทย การปล่อยให้มีการส่งข้าวให้เผด็จการทหารพม่า และล่าสุดการส่งตัวแทนไปร่วมงานวันกองทัพของพม่า ซึ่งเป็นวันที่เผด็จการพม่าฆ่าผู้ชุมนุมชาวพม่าถึง 114 คน ที่มีทั้งผู้หญิงและเด็ก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่แปลกประหลาดในสายตาชาวโลก ในขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมของ 12 ประเทศที่รวมถึง สหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี กรีซ อิตาลี เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และอังกฤษต่างก็ประณามการกระทำดังกล่าว แต่ไทยกลับแสดงบทบาทเหมือนกับเห็นดีเห็นงานด้วย ซึ่งไม่แน่ใจว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะห่วงว่าหากเผด็จการทหารพม่าต้องถูกโค่นล้มจะมีผลกระทบมายังรัฐบาลไทยที่มาจากเผด็จการเหมือนกันด้วยหรือไม่ จึงทำให้ต้องทำสวนกับเรื่องที่ประชาคมโลกกำลังรังเกียจเช่นนั้น ซึ่งจะทำให้ความเชื่อถือและความมั่นใจของประเทศไทยลดต่ำไปด้วย และจะส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของไทย 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์มีปัญหาในการบริหารเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่จะเห็นแนวทางในการฟื้นเศรษฐกิจให้ครบทุกกรอบได้ คิดได้แค่การขายฝันว่าเศรษฐกิจจะโต 4% จากการลงทุนจากต่างประเทศ และ คนไทยควักเงินออมมาใช้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และไม่ต่างจากสมคิดที่เคยขายฝันมา 5 ปีแต่ไม่เคยทำได้จริง ดังนั้นพลเอกประยุทธ์จึงน่าจะต้องปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจยกชุดเพราะยังคงเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และยังหาทางแก้ไขไม่ได้ ซึ่งประชาชนจะลำบากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ทนกันไม่ไหวแล้วต้องออกมาไล่รัฐบาลกันมากขึ้น