เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. หลังจากจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน และสมยศ พฤกษาเกษมสุข ข้อรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ชนะสงคราม ทั้งสองคนออกมาระบุกับสื่อมวลชนว่า วันนี้ทั้งสองคนได้ให้การปฏิเสธ โดยจะมีให้การปากคำเป็นเอกสารภายใน 30 วัน โดยหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ควบคุมตัวไปฝากขังต่อ และอนุญาตให้เดินทางกลับได้ทันที
สมยศ กล่าวพร้อมกับโชว์หมอนและผ้าห่มที่เตรียมมาล่วงหน้าว่า เมื่อรู้ตัวว่าถูกออกหมายเรียกคดีมาตรา 112 อีกครั้งจึงต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ เพราะเข้าใจว่าคงไม่ได้กลับง่ายๆ และคงต้องนอนค้างคืนที่สถานีตำรวจ แต่วันนี้ไม่ได้ก็ต้องขนของกลับ
จตุภัทร์ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า คดีนี้ไม่ได้ผู้ฟ้องที่เป็นประชาชน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้ถอดเทปคำปราศรัยของตน และสมยศ เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่สนามราษฎร (สนามหลวง) สำหรับกรณีของตนไปการพูดในประเด็นเรื่องคนเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ หรือราษฎรก็ถึงเป็นคนเหมือนกัน ซึ่งการพูดในลักษณะนี้ทำให้เข้าหน้าที่ตำรวจมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันฯ
นอกจากนี้ จตุภัทร์ ยังคาดการณ์ว่า ในท้ายที่สุดแล้วคดีนี้พนักงานสอบสวน ก็จะต้องทำความเห็นสั่งฟ้องต่ออัยการ เพราะทุกครั้งที่เกิดคดี มาตรา 112 ขึ้น ไม่มีครั้งใดเลยที่ตำรวจจะยืนยันในหลักการความถูกต้องและไม่สั่งฟ้อง
สมยศ ให้ความเห็นด้วยว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 ถือเป็นกฎหมายที่ละเมิดรัฐธรรมนูญ เพราะสถาบันกษัตริย์ถือเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และเป็นองค์กรของรัฐ ดังนั้นจึงเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนสามารถวิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นได้
การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลประยุทธ์ เป็นรัฐบาลเผด็จการ และการนำกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์เอง
“ผมไม่มีปัญหาเรื่องคุก ตะราง เพราะว่าเรายอมสูญเสียอิสรภาพเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และพิสูจน์ว่ากฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ล้าหลัง” สมยศ กล่าว
ด้าน จตุภัทร์ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเพียงประเทศเดียวในโลก แต่เราอยู่กับเป็นชุมชนโลก ซึ่งมีหลักการที่ต้องยึดถือร่วมกันคือ หลักสิทธิมนุษยชน และการใช้กฎหมายมาตรา 112 นั้นตั้งคำถามอย่างหนักจากนานาชาติมานานแล้ว และตนคิดว่าไม่มีประเทศใดในปัจจุบันที่มีกษัตริต์โดยที่ประชาชนไม่สามารถวิจารณ์ได้ และตราบใดที่ประชาชนยังไม่มีสิทธิเสรีภาพ ก็ไม่สามารถเอาความจริงออกมาได้
“ผมอยากทุกคนออกมาต่อสู้กับกฎหมายที่มันอยุติธรรมนี้ ออกมารณรงค์ช่วยกันยกเลิกมาตรา 112 ในเมื่อกฎหมายมาตรานี้ เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง เราก็ต้องกำจัดกฎหมายนี้ทิ้ง เพราะมันเป็นปัญหาต่อพัฒนาการประชาธิปไตย” จตุภัทร์ กล่าว
เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า พ.ต.ท.บำเพ็ญ ไวยรจนา รองผู้กำกับสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี พร้อมคณะพนักงานสอบสวน ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง และพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ แกนนำคณะราษฎรในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยได้มีการนำข้อความการปราศรัยของทั้งสามคน ในเวทีชุมนุม #คนนนท์ไม่ทนเผด็จการ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2563 มาใช้ตั้งข้อกล่าวหา
โดยทั้ง 3 คน ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และปฏิเสธจะลงลายมือชื่อในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา โดยระบุในการบันทึกว่า “ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ลายมือชื่อ เนื่องจากไม่ยอมรับอำนาจศักดินา ไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ และไม่ยอมรับมาตรา 112 เป็นกฎหมาย” จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ให้ปล่อยตัวทั้ง 3 คนไป โดยไม่มีการควบคุมตัวไว้ และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัว
สำหรับ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง แกนนำเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ซึ่งเดิมเข้าใจว่าจะถูกแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 เพิ่มเติมด้วยนั้น ปรากฏว่าไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาในคดีนี้ แต่ พ.ต.ท.บำเพ็ญ ไวยรจนา พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาในคดีชุมนุมอีกคดีหนึ่ง ได้แก่ คดีข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการจัดชุมนุม #เด็กนนท์พร้อมชนเผด็จการ ที่ท่าน้ำนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2563 โดยชินวัตรได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป ในคดีนี้ ทางตำรวจมีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุมไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :