สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า สถานการณ์ความไม่สงบในฮ่องกงทำให้มีชาวฮ่องกงจำนวนมากมีความคิดว่าอยากจะย้ายประเทศ โดยเฉพาะคนรวยในฮ่องกง บางคนอาจไม่ได้ต้องการเปลี่ยนสัญชาติหรือย้ายออกจากฮ่องกงอย่างถาวร แต่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ถือเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับการขอวีซ่าแบบพำนักถาวร หรือแม้แต่การขอสัญชาติในประเทศนั้นๆ
จอห์น ฮู ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาเรื่องการย้ายถิ่นฐานเปิดเผยว่า 'บ้าน' เรียกได้ว่าเป็น “วีซ่าทอง” หลายประเทศก็พยายามดึงดูดนักลงทุนชาวฮ่องกงที่ต้องการหาแผนสำรองในชีวิต ชาวฮ่องกงที่มีทุนทรัพย์มากพอ สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รับเงินค่าเช่า และยังมีทางเลือกว่าในอนาคตอาจย้ายไปอยู่อย่างถาวรได้
ปัจจุบัน มีอย่างน้อย 20 ประเทศและเขตการปกครองที่ให้สัญชาติหรือวีซ่าพำนักถาวรกับนักลงทุน แต่เงื่อนไขของแต่ละแห่งก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าจะซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วก็จะได้พาสปอร์ตของประเทศนั้นทันที โดยประเทศที่ชาวฮ่องกงสนใจจะไปลงทุนมากที่สุด คือ ไอร์แลนด์และโปรตุเกส
ส่วนใหญ่คนที่จะได้รับสัญชาติจะต้องผ่านการทดสอบภาษาก่อน ยกเว้นไซปรัสและบัลแกเรีย ที่ไม่ต้องผ่านการสอบภาษา บางประเทศระบุว่าชาวต่างประเทศที่ต้องการขอสัญชาติจะต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่ประเทศนั้นไม่ต่ำกว่าระยะที่กำหนด เช่น ไอร์แลนด์ กำหนดว่าจะต้องอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างน้อย 1 วันต่อปี เพื่อที่จะรักษาสถานะวีซ่าพำนักถาวร ส่วนอังกฤษกำหนดว่าจะต้องอาศัยอยู่ในอังกฤษมากกว่าร้อยละ 50 ในช่วง 5 ปีแรกก่อนจะยื่นเรื่องของพำนักถาวร ขณะที่สหรัฐฯ กำหนดว่าจะต้องอยู่นานกว่า 5 ปีก่อนจะยื่นขอสถานะพลเมือง และจะต้องไม่ออกจากสหรัฐฯ ติดต่อกันนานเกิน 6 เดือนเพื่อรักษาสถานะนี้เอาไว้
อเล็กซานเดอร์ วอก์น ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลูคัส ฟ็อกส์ เปิดเผยว่า ชาวฮ่องกงอยากอยู่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เพราะสามารถเดินทางภายในยุโรปโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และยังส่งลูกหลานเรียนในระบบการศึกษาของยุโรปได้
กรีซก็เป็นอีกประเทศที่ชาวฮ่องกงสนใจเพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ขั้นต่ำถูกกว่าหลายประเทศ อยู่ที่ 250,000 ยูโรเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีกำหนดว่าจะต้องอยู่ในประเทศนานเท่าไหร่ เพื่อรักษาสถานะการพำนักถาวร แต่หากจะยื่นขอสัญชาติ บุคคลนั้นจะต้องอยู่ในกรีซเกิน 7 ปีและผ่านการทดสอบภาษาด้วย ในทางกลับกัน โปรตุเกสมีอุปสรรคด้านภาษาน้อยกว่า
แม้อังกฤษจะให้สถานะการพำนักถาวรและให้สัญชาติอังกฤษยากมาก มีกำหนดการลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 2 ล้านปอนด์ แต่คนฮ่องกงที่มีฐานะดีจำนวนมากก็ยังสนใจที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษกันจำนวนมาก แม้อังกฤษจะเผชิญวิกฤตเบร็กซิต แต่คนฮ่องกงมองว่าอังกฤษเป็นประเทศที่ยังน่าอยู่อาศัย น่าลงทุน และเหมาะกับการส่งลูกเรียน เพราะอังกฤษมีสถาบันการศึกษาที่ยอดเยี่ยมหลายแห่ง เป็นโอกาสที่ดีของลูกที่จะมีอนาคตที่ดี
จอร์จ ชมีล ซีอีโอ Juwai.com กล่าวว่า ชาวฮ่องกงพยายามขอ “วีซ่าทอง” กันจำนวนมากในช่วงนี้ โดยไตรมาสแรกของปีนี้มีชาวฮ่องกงขอ “วีซ่าทอง” ร้อยละ 5 ของผู้ขอทั้งหมด แล้วขึ้นมาเป็นร้อยละ 10 ในไตรมาสที่ 2 และมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย โดยช่วงครึ่งปีแรกของมีนี้มีเงินลงทุนจาก “วีซ่าทอง” อย่างน้อย 510 ล้านปอนด์