นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทกระทิงแดงนั้น สะท้อนความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมไทยได้เป็นอย่างดีที่สุดและชัดเจนที่สุดในวันนี้ ถึงเวลาที่รัฐบาลต้อง "รื้อใหญ่" ระบบยุติธรรม ไม่เช่นนั้นก็อยู่ในฐานะผู้สมคบคิดไปด้วย เพราะอัยการสูงสุดเป็นหน่วยงานราชการอิสระที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง

คดีนี้เป็นความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นธาร คือตำรวจและอัยการที่สามารถเลือกปฏิบัติทางกฎหมายได้ หรืออาจสามารถล้มคดีได้ถ้ามีเงินมากพอ เพราะระบบตำรวจเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนและส่งสำนวนให้อัยการ ศาลจะพิจารณาขั้นสุดท้ายจากหลักฐานและข้อมูลที่ถูกส่งมาเท่าที่มีและให้จำเลยแก้ต่างเอง ซึ่งระบบยุติธรรมในเมืองไทยทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางกฎหมายและการเลือกปฏิบัติระหว่างคนจน-คนรวย

เนื่องจากไม่มีการแยกอำนาจสอบสวนออกจากอำนาจจับกุมของตำรวจ และการมีผู้บังคับบัญชาคนเดียวกันคือผู้กำกับสถานีตำรวจจึงทำให้มีการออกแบบคดีได้ตามใจได้ เนื่องจากพนักงานสอบสวนขาดอิสระในการทำงานและชีวิตการทำงานขาดโอกาสการเติบโตในระบบที่เป็นอยู่ รวมถึงระบบชั้นยศที่ไม่สอดคล้องกันทำให้เกิดระบบส่วยขึ้น จากการรวบอำนาจสืบสวนและสอบสวนไว้ด้วยกัน จนทำให้คดีนี้เกิดมลทินแก่แผ่นดินไทย จนตำรวจชั้นประทวนไม่เห็นด้วยกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติจำนวนมากที่ไม่รักษาเกียรติยศไว้ได้ ขณะที่อัยการน้ำดีก็พูดไม่ได้เพราะถือเป็นการทำลายองค์กร เนื่องจากความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามสำนวนที่ตำรวจส่งมา

คำสั่งอัยการสูงสุดอาจจะชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการตั้งประเด็นการพิจารณาของคณะทำงานที่ถูกตั้งขึ้นจึงอาจจะเพื่อการฟอกผิด แต่อาจจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทั้งตำรวจและอัยการ ตำรวจอาจทำสำนวนบกพร่องและอาจมีการคอร์รัปชันหลักฐาน ส่วนอัยการก็ไม่ตรวจสอบความแตกต่างในแต่ละเรื่องแต่ละเวลาซึ่งอาจจะขัดกับระเบียบกระบวนการ เนื่องจาก ป.ป.ช.ยังมีมติชี้มูลความผิดตำรวจ 7 นาย ฐานเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

นอกจากนี้ ข้อมูลสารเสพติดแปลกปลอมในร่างกายจำเลยที่ให้โรงพยาบาลรามาธิบดีตรวจสอบพบถึง 4 สารก็เหมือนถูกถอดออกจากสำนวน เรื่องนี้น่าจะสามารถรื้อคดีด้วยโดยการนำหลักฐานสำคัญที่หายไปดังกล่าวมาตั้งเป็นหลักฐานใหม่ในการรื้อฟื้นคดี

นายเมธา กล่าวต่อว่า ตนได้ยินข่าวลือเล่ามาว่า คดีนี้มีการใช้เงินกว่า 400 ล้านบาทเพื่อให้ทนายความไปบริหารจัดการซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าเป็นจริงก็ถือว่ามีราคาน้อยเกินไปและเท่ากับความยุติธรรมซื้อหาได้ง่ายดายถ้ามีเงิน เนื่องจากจะเป่าสำนวนให้รอดคดีตามกฎหมายได้ จะต้องจ่ายพนักงานสอบสวน ผู้กำกับสถานีที่กำกับดูแลพนักงานสอบสวนซึ่งขอตรวจสำนวนได้ ไล่ไปจนถึงผู้บังคับการตํารวจนครบาลและผบ.ตร. รวมถึงจะต้องจ่ายอัยการผู้มีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องจากการตรวจสอบสำนวนที่ตำรวจส่งมา

รัฐบาลจะต้องสร้างความเป็นธรรมให้ปรากฎโดยเร็ว ถึงเวลาแยกน้ำดีออกมาและทำระบบบำบัดน้ำเสียครั้งใหญ่ รื้อใหญ่ไม่ให้ระบบยุติธรรมรับใช้เพียงอำนาจรัฐและอำนาจทุน แต่รับใช้ประชาชนพลเมืองของชาติ ต้องไม่มีระบบอภิสิทธิ์ชนในกระบวนการยุติธรรมเหมือนเช่นที่ผ่านมา

ทางออกเฉพาะหน้าในเรื่องนี้ รัฐบาลต้องเร่งผลักดันกฎหมายปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรมที่ค้างอยู่ คือ ร่าง พ.ร.บ.ตํารวจแห่งชาติและร่าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา ซึ่งยังค้างอยู่ที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วและได้ส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบเป็นร่างกฎหมายก่อนเสนอเข้าสภาต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• 'รอง ผบ.ตร.-รอง อสส.' ตอบรับเข้าชี้แจงกับ กมธ. กฎหมาย กรณี 'บอส อยู่วิทยา'
• คณะทำงานอัยการขอ 7 วัน ตรวจสอบสำนวนคดี 'บอส อยู่วิทยา'
• 'ศรีสุวรรณ' ชี้ 9 ข้อพิรุธกรณี 'บอส อยู่วิทยา' ที่ อัยการ-ตำรวจต้องตอบ
• ACT เรียกร้องกู้ความน่าเชื่อถือ ตร.-อัยการ จากคดี 'บอส อยู่วิทยา'