วันที่ 30 พ.ค. สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในการตั้งรัฐบาลขณะนี้ ว่า ตนไม่มีความกังวล เรื่องการเมืองต้องปล่อยให้เป็นกลไกของประชาธิปไตย ใครจะเป็นรัฐบาลใหม่ตั้งอย่างอย่างไรอยู่ที่หลักของประชาธิปไตยให้ว่ากันไป รัฐธรรมนูญกำหนดอยู่แล้วว่าใครรวมเสียงได้มากกว่าก็เป็นรัฐบาล แต่ส่วนตัวเลือกตั้งมาแล้วก็ยอมรับในกติกา ทำหน้าที่ในส่วนของกระทรวงแรงงานให้ดีที่สุด ส่วนรัฐบาลครั้งหน้าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ขอฝากสื่อมวลชนตั้งคำถามว่า Road Map ที่จะเดินต่อไปว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร
เมื่อถามว่า คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ สุชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้อยู่ในพรรคเขาต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน การตั้งรัฐบาลใครรวมเสียงได้มากกว่าก็ต้องเป็นคนนั้น
เมื่อถามว่า อยากให้ พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รวมเสียงกันเพื่อสู้หรือไม่ สุชาติ กล่าวว่า มันอาจจะมองถึงมิตินั้นไม่ได้ ไม่ถึงขั้นนั้นพรรคอันดับ 1 อันดับ 2 ต้องคุยกันเอง เราอยู่พรรคอันดับ 4 อันดับ 5 จะไปคุยอะไร ต้องยอมรับในกติกาของสังคม ส่วนจะไปร่วมเพื่อต่อรองกับพรรคหลักหรือไม่ ส่วนตัวไม่สามารถตอบแทนท่านได้ และคิดว่ายังไม่ไปถึงขั้นนั้น ต้องว่ากันไปตามสิทธิชอบธรรมของเขาก่อน
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับ ว่าที่ส.ส.ของพรรคให้รอก่อน เพราะอาจจะได้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งนั้น สุชาติ ระบุว่า จริงๆแล้วมีสิ่งที่สื่อมวลชนไม่ทราบ ทุกพรรคการเมืองเขาก็ต้องให้กำลังใจ ส.ส.ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ก็เป็นผู้แทนของประชาชน แต่ถ้าได้เป็นรัฐบาลการทำงาน การแก้ปัญหาอาจจะรวดเร็วและทันท่วงที เพราะผ่านรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีรัฐมนตรีอยู่ใน ครม. แต่หากเป็นฝ่ายค้านต้องไปหารือในรัฐสภา กว่าจะส่งไปแต่ละหน่วยงานก็ช้า เพราะต้องรอหารือในการประชุมพิจารณางบประมาณปีละครั้ง ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงที
เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ พูดให้ความหวังเช่นนี้แสดงว่ามีช่องทางใช่หรือไม่ สุชาติ กล่าวว่า ตนไม่ได้มองถึงตรงนั้น แต่เป็นการให้กำลังใจมากกว่า คงไม่เชิงให้ความหวัง เพราะผู้แทนใหม่ที่เข้ามาเป็นส.ส.ใหม่หลายคนที่กำลังมีไฟ
ส่วนการวางบทบาทหลังจากนี้ สุชาติ กล่าวว่า ตนก็เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคอยู่ และขอขอบคุณที่ประชาชนให้ความไว้วางใจได้ทำหน้าที่ต่อ ซึ่งตนมีโอกาสอยู่ฝ่ายบริหาร มีประสบการณ์เห็นภาพ อยากฝากให้รัฐบาลใหม่ทำอะไรมองหลายมิติหลายมุม ส่วนตัวไม่ได้มองในมุมนายจ้างหรือลูกจ้าง แต่มองในภาพรวมการบริหารองค์กรเศรษฐกิจทั้งหมดเดินต่อไปได้
นอกจากนี้ สุชาติ กล่าวถึงกรณีขึ้นค่าแรง 450 บาท ของพรรคก้าวไกล จะทำให้คณะกรรมการไตรภาคีมีความกังวลหรือไม่ ว่า การปรับค่าแรงจะต้องปรับให้กับแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในไทยประมาณ 2.4 ล้านคนด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เป็นห่วงคน 50-60 ล้านคน ที่ต้องแบกรับต้นทุนเหมือนกันหมด ส่วนการกำหนดค่าจ้างในต่างจังหวัด เป็นเรื่องของคณะกรรมการไตรภาคีรัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเป็นเรื่องของข้าราชการประจำ