ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี ประชุม ศบค.ย้ำหัวหน้าส่วนราชการระดับผู้ปฎิบัติงานปรับรูปแบบการทำงานให้เร็วขึ้น พร้อมกำชับ "วิษณุ-ตัวแทนกระทรวงการคลัง" เข้าประชุมด้วยทุกครั้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่ตำสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุม เข้าตามกลุ่มงาน ศบค. ซึ่งในวันนี้ ผู้อำนวยการ ศบค. ได้รับทราบรายงานการติดตามงาน ทั้งในด้านสาธารณสุข ด้านการควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์ ด้านการต่างประเทศ และช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ การแก้ไขสถานการณ์ด้านความมั่นคง การปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท และภาพรวมหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้เข้าวันที่สอง

โดยนายกฯกล่าวว่าก่อนการประชุมว่าการประชุมวันนี้มีเพียงผู้รับผิดชอบกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เพราะต้องการประชุมกับฝ่ายปฎิบัติ เพื่อปรับให้รูปแบบการทำงานรวดเร็วขึ้น และนำไปสู่การปฏิบัติที่แท้จริง ทั้งสั่งการให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เข้าประชุมด้วยทุกครั้ง เพราะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม รวมทั้งตัวแทนจากกระทรวงการคลังต้องเข้าร่วมด้วย เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อจะได้รับทราบแนวปฏิบัติตามที่สั่งการ ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ต่อไป

IMG_20200327105840000000.jpg

ทั้งนี้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกส่วน ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง ที่เริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินวันแรกในวันนี้ และต้องทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ขอให้ระมัดระวังตัวเองให้ปลอดภัย มีความอดทน เสียสละ และให้อภัย พร้อมทั้งสั่งการผู้มีอำนาจหน้าที่ให้ดำเนินการ และขอความร่วมมือประชาชน 10 ข้อ ดังนี้

1. ให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางไปต่างจังหวัด หากมีความจำเป็นให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค เช่น กักตัวเอง 14 วัน

2. ให้ประชาชนใช้แอปพลิเคชันที่ทางราชการกำหนด สำหรับผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อติดตามป้องกันควบคุมโรค

3. ให้ประชาชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว

4. ให้ประชาชนยึดหลักเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) อยู่ห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

5. ให้ประชาชนดูแลตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย ไม่มั่วสุม 

6. ให้เจ้าหน้าที่จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ และสถานที่ให้เพียงพอกับผู้ป่วย 

7. ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมราคาสินค้า ไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อน เช่น ราคาไข่ไก่ ฯลฯ 

8. ให้เจ้าหน้าที่แก้ไขกฎระเบียบการจัดซื้อ และลดภาษีการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์

9. ให้เจ้าหน้าที่เร่งประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน

10. ให้เจ้าหน้าที่ดูแลช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ และชาวต่างชาติในไทยที่มีใบอนุญาตให้ทำงาน

สำหรับการติดตามตัวผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัดนั้น รัฐบาลได้ต่อยอดใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชัน AOT Airports ที่ใช้ติดตามตัวคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศ โดยได้ปรับปรุงให้ใช้งานสะดวกขึ้น เพื่อให้แต่ละจังหวัดส่งเจ้าหน้าที่ไปพบกับคนกลุ่มเสี่ยง และให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าว โดยระบุสถานที่กักกันตัวเอง กักตัวเอง 14 วัน และทุกวันต้องรายงานตัวผ่านระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัญลักษณ์สีต่าง ๆ ว่ายังคงกักกันตัวและปลอดภัยหรือไม่ และหากผู้ใช้ออกจากสถานที่กักกันเกิน 50 เมตร ไม่รายงานตัว หรือปิดแอป เจ้าหน้าที่จะทราบข้อมูล และลงไปตามหาตัวในพื้นที่ได้ทันที ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องใช้งานแล้วที่ จ.บุรีรัมย์ 

นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองที่ประจำจุดตรวจคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัด ใช้ในการตรวจสอบว่าบุคคลกลุ่มเสี่ยงได้รายงานตัวและกักกันตัวเองครบ 14 วันแล้ว ตามมาตรฐานการควบคุมโรคแล้วหรือไม่ได้อีกด้วย