พรรคเพื่อไทย จัดเสวนาออนไลน์ผ่านหัวข้อ "ถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล : เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร" ถอดรหัสการแก้ไขปัญหา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานสถาบันปรีดี พรมยงค์ และนายวัฒนา เมืองสุข กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
'สุดารัตน์' ชื่นชม 'บุคลากรทางการแพทย์'
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวเปิดเสวนาออนไลน์ถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล : เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร โดยการเปรียบเทียบข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย กับสิ่งที่รัฐบาลทำให้ หากมีการร่วมกันคิดและทำตามข้อเสนอผลดีก็จะเกิดกับประชาชน อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยขอชื่นชมแพทย์ ,พยาบาล ,ประชาชน รวมถึง อสม. ที่ได้ร่วมกัน ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง โดยก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทย ก็ได้เสนอยุทธการ 21 วัน สยบโควิดไป แต่เหมือนรัฐบาลก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม แต่กลับทำให้ประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา และมีการติดเชื้อกระจายทั่วประเทศ แต่ด้วยระบบสาธารณสุขของไทยที่ดีทำให้มีการควบคุมโรคได้
หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คาดโควิดพ่นพิษ ฉุดจีดีพีติดลบร้อยละ 5-9
ด้าน นายสมพงษ์ กล่าวว่า การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยได้ลดลงมาตามลำดับ พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่าถึงเวลาที่สังคมไทยต้องพิจารณาการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ถอดบทเรียนเพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของประชน ระบบสาธารณสุขของไทยที่มีประสิทธิภาพ และ ความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ สำหรับตัวเลขที่ลดลง ต้องขอชื่นชมการเสียสละของประชาชน ที่ทุกคนเสียสละดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลได้วางไว้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ
ซึ่งการเสียสละของประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบคือการปิดกิจการ และไม่มีรายได้ ขอชื่นชมความสามารถและการเสียสละของสาธารณะสุขไทย ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า บุคลากรทางการแพทย์ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เพื่อระงับการแพร่เชื่อ รวมถึง อสม. ที่อยู่ในพื้นที่คอยดูแลประชาชนในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตาม การดูแลแก้ปัญหาโควิด-19 ควรมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ อย่างการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่ได้มีกระแสข่าวเรื่องการกักตุนหน้ากาก เรื่องชุด PPE และความสับสนในมาตราการการกักตัว สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศที่ต้องกักตัว 14วัน แล้วปล่อยให้กลับยังภูมิลำเนา เป็นความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ส่วนนี้ตนมองว่าทำให้รัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
นอกจากนี้รัฐบาล ไม่ฟังคำแนะนำของพรรคเพื่อไทย ที่ให้ปิดประเทศแต่แรก แต่กลับมาทำหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเสนอไปแล้ว 2 สัปดาห์ ทำให้มีต่างชาติเข้ามาที่ไทย และเกิดความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีความล่าช้าในการทำงาน ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องดังกล่าว ยังมีเรื่องของการเยียวยาที่มีความล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ทั่วถึง ความล่าช้าในการคลายล็อคทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรง คนไม่มีงานทำคนขาดรายได้ ความล่าช้าในการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งธุรกิจต้องการให้มีการยกเลิกเพราะยังไม่มีงานทำจำนวนมาก ทั้งนี้ความท้าทายในระยะต่อไปคือการฟื้นฟูและกอบกู้เศรษฐกิจ ตนคาดว่าจีดีพีไทยจะติดลบถึง ร้อยละ 5-9 เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ที่กู้มาจะต้องใช้อย่างโปร่งใสและฟื้นฟูประเทศ ให้เกิดความเข้มแข็ง
ประธานวิปฝ่ายค้าน ชี้รัฐบาลสอบตก
ด้าน นายสุทิน กล่าวว่า โรคไวรัสโควิด-19 มีอนุภาคทำลายล้าง ใน 2 มิติ คือเรื่องสุขภาพ และเรื่องเศษฐกิจ ความสำเร็จในการจัดการยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะทั้งสองมิติ ทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดต่ำลงและเศรษฐกิจที่จะต้องดูควบคู่กันไป โดยผลกระทบของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มีทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือคนป่วยและคนเสียชีวิต แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ไม่สามารถประเมินได้นั้นคือคนตกงาน ไม่มีงานทำไม่มีรายได้ ส่วนกลุ่มคนที่มีผลกระทบทางอ้อม คือประชาชนทั่วไป ที่ไม่ได้ตกงานเพราะไม่มีนายจ้าง ไม่มีที่ดินทำกินแต่ก็ยังขาดรายได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเดือนร้อนของประชาชนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า แต่การเยียวยาของรัฐบาลไม่ทั่วถึง
ส่วนด้านการศึกษาเชื่อว่าเด็กในชนบทจะเข้าเรียนน้อยลง หากเปิดเรียนตามปกติจะเพราะผู้ปกครองไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียน สำหรับการช่วยเหลือเยียวยารัฐบาล ยังทำได้ไม่ถึงร้อยละ 50 มีทั้งกลุ่มคนที่ได้รับเงินเยียวยาแล้วและยังไม่ได้รับเงินเยียวยา แต่มีคนกลุ่มเดียวที่ไม่เดือดร้อนคือรัฐบาล เปรียบเสมือนสถานการณ์โควิด-19 นี้ที่เข้ามานี้เป็นการช่วยรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลทำเศรษฐกิจตกต่ำ และยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลสอบตก
ทั้งนี้ มองว่าในสถานการณ์โควิด-19 นี้ผู้ที่ได้รับการยกย่อง คือ ประชาชน ที่ตื่นรู้มีวินัยในตนเอง และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ ประชาชนร่วมมือและเสียสละ ที่ช่วยไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด อีกกลุ่มคนที่น่าชื่นชมคือบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน รวมถึง อสม. ที่ดูแลและรักษาผู้ป่วยเป็นอย่างดี
อีกกลุ่มหนึ่งคือรัฐบาล ที่ตั้งกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมาและนำนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่เสนอรัฐบาลไปปรับใช้ เพื่อให้เกิดการระงับการแพร่ระบาด แต่รัฐบาลก็ยังไม่เป็นที่น่ายกย่องสูงสุด เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีเอกภาพในการทำงาน และยังมีข่าวกักตุนหน้ากากอนามัยที่ทำให้เป็นที่น่าเอือมละอา และยังมีอีกหลายประเด็นที่ทำให้เห็นว่ารัฐบาลทำงานผิดพลาด แต่ก็ยังมีโชคดีคือประชาชนให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างดี
ขณะที่ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลขอเปรียบเทียบว่าเหมือนเป็นโรคเบาหวาน ที่แม้หมอจะรักษาดีจนน้ำตาลลดลง แต่ยาต่างๆที่หมอใช้เพื่อรักษาเบาหวานกลับเป็นการทำลายไต เปรียบเหมือนกับเศรษฐกิจ ที่ถดถอยและเรื้อรัง คนไข้จะไม่ตายด้วยโรคเบาหวานแต่จะตายด้วยไตวาย ประเทศไทยต้องกู้เงินถึง 1.9 ล้านล้านบาทนั้น ซึ่งถ้าหากหมอเก่งจะต้องรักษาได้ทั้งโรคเบาหวาน และไม่เป็นโรคไตเช่นกัน
ด้าน นายสุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า การพิจารณาเรื่องการกู้ 1.9 ล้านล้านบาทนั้น จะต้องมีคำถามตามมามากมายว่า จำเป็นต้องกู้หรือไม่ แล้วกู้มาเพราะแก้ปัญหาโควิด จริงหรือไม่ ซึ่งจะไปกู้ที่ไหนดอกเบี้ยเท่าไหร่ จะช่วยเหลือครอบคลุมหรือไม่ และถ้ากู้มาเยอะขนาดนี้จะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ หากมีระลอกใหม่ตามมา จะสามารถกู้เพิ่มได้จากที่ไหน เพราะหนี้สาธารณะจะเต็มเพดานแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นคำถามที่รัฐบาลต้องตอบ โดยอาจจะมาในรูปแบบของกระทู้ หรือหารือก็ได้ แต่ยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากให้รอติดตามในสภา
ชลน่าน ติงรัฐบาลใช้วิธีควบคุมคน ไม่ได้ควบคุมโรค
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ย้ำว่าในสถานการณ์นี้ นอกจากประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคแล้ว ระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยก็มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสลดลงต้องยอมรับ และชื่นชมในการดำเนินการของบุคลากรทางการแพทย์ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องกล่าวถึงความรู้ความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ และการบังคับใช้ พระราชบัญญัติ ควบคุมโรคติดต่อปี 2558 มีความเหมาะสมในการยับยั้งการระบาดของเชื้อโรคอยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพราะพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ ได้ให้อำนาจในการปิดสถานที่ต่างๆ ไว้อยู่แล้ว ซึ่งมองว่า หากมีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปจะเป็นยาแรงที่ไม่เหมาะสม เพราะจะมีผลกระทบต่อเศษฐกิจ ซึ่งการที่รัฐบาลใช้วิธีการประกาศให้ใช้วิถีสุขภาพนำเสรีภาพถือเป็นการควบคุมคน ไม่ได้ควบคุมโรค ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบและได้รับความเดือดร้อน
โดยก่อนหน้านี้ ส.ส.หลายคน มองว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความสามารถบริหารสถานการณ์ในภาวะวิกฤต และมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เห็นได้จากมีการต่อต้านจากประชาชนซึ่งอยู่ในบริเวณที่จะมีผู้กักตัวเพื่อเฝ้าระวังโรค ทั้งนี้จึงมองว่ามาตรการทางการแพทย์ ถือว่ามีความเหมาะสมแล้วแต่ยังกังวลมาตรการที่รุนแรงของรัฐบาลหลังจากนี้
วัฒนา กังขายืดพ.ร.ก. ฉวยโอกาสทางการเมือง
ด้าน นายวัฒนา มองว่ามาตรการที่รัฐบาลกำลังใช้อยู่ขณะนี้ เหมือนไม่สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกำลังฉวยโอกาสใน 2 เรื่อง คือ 1.ฉวยโอกาสทางการเมือง โดยการไม่ปลดล็อคเพราะกลัวว่าประชาชนจะรวมตัวกันออกมาขับไล่รัฐบาล จึงอยากให้รัฐบาลปลดล็อค คืนชีวิตปกติให้ประชาชน และให้ความรู้ประชาชน โควิดไม่ใช่โรคอันตรายที่เป็นแล้วตายทันที สิ่งที่เราทำคือควบคุมปริมาณคนป่วย ไม่ให้เกินกว่าที่ระบบสาธารณสุขจะรองรับได้ สิ่งที่ตนเองเป็นห่วงคือผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่มองว่าจะร้ายแรงที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา โดยคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะติดลบถึงร้อยละ 10
2.ฉวยโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยโยนบาปให้โควิด จากปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่งเงินกู้ที่รัฐบาลจะใช้คือเพื่อเยียวยา พยุง และฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมากลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์กลับเป็นกลุ่มเจ้าสัว กลุ่มทุน และมหาเศรษฐีคนมีเงิน ซึ่งการเยียวยารัฐบาลควรนำเงินมากระจายสู่ประชาชนอย่างพร้อมเพียงกัน ไม่ใช่ประชาชนได้เงินคนละเวลา เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายพร้อมกัน และเสนอว่าควรเยียวยาให้ครอบคลุมทั่วถึง เพื่อสร้างฐานการบริโภคภายในประเทศ ที่ถือเป็นเครื่องจักรหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้ เนื่องจากรายได้จากการส่งออกและท่องเที่ยวของไทยลดลงอย่างมาก ซึ่งเงินจำนวนนี้จะกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายประเทศ
อนุสรณ์ มองระบบสาธารณสุขไทย เป็นผลพวงยุคไทยรักไทย
ทั้งนี้ ผศ.ดร.อนุสรณ์ ได้พูดถึงภาพรวมของเศรษฐกิจว่า สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นขณะนี้ หากรายได้ของประชาชนและรายได้ภาคธุรกิจลดลง ตนมองว่าจะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีของรัฐบาลลดลงไปด้วย พร้อมมองว่า เหตุที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงอย่างรวดเร็วนี้ เป็นความดีของพรรคไทยรักไทยในอดีต ที่วางรากฐานระบบหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคไว้ เลยทำให้คนไทยเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ซึ่งครั้งนั้นถือว่าพรรคไทยรักไทย ได้ปฏิรูประบบระบบการใช้งบประมาณด้านสาธารณสุขของไทยครั้งใหญ่
อ่านเพิ่มเติม