นางสุภาวดี ไลลานี บูเตอเลอซ์ หรือ บี เกษตรกรชาวสุรินทร์ อายุ 33 ปี และเจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘สวนบีนัวร์ Be Nour Farm’ ที่มีผู้ติดตามราว 3 หมื่นคน และเฟซบุ๊กส่วนตัวเกือบ 4 แสนคน เล่าให้ทีมข่าว ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ฟังว่า เริ่มแรกเธอเรียนจบแค่ ม.3 จากครอบครัวชาวนาในจังหวัดสุรินทร์ และย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่ จนได้รับตำแหน่ง Sales Director ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จังหวัดภูเก็ต เพราะความสามารถในการพูด
"ตอนนั้นหาเงินได้เยอะมาก ทั้งเงินเดือนและค่าคอมมิชชั่น รวมแล้วเกือบสี่แสนบาทต่อเดือน แต่ก็ใช้จ่ายแต่ละเดือนพอๆ กับเงินที่ได้มา หรือบางเดือนก็ไม่พอจนต้องเป็นหนี้"
เนื่องจากในเมืองใหญ่และหน้าที่การงานที่ต้องพบคนมากมาย ทำให้เงินส่วนใหญ่เสียไปกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาษีสังคม’ เช่น ค่าเช่าที่พัก ค่าผ่อนรถ เครื่องสำอาง ปาร์ตี้ แต่งหน้าทำผม ฯลฯ จนเคยคิดว่า "ทำไมชีวิตมันต้องเป็นแบบนี้" แต่ตอนนั้นก็ยังหาทางออกไม่เจอ
จนกระทั่งเธอได้พา ‘ดิมิทรี ปาสกาล เจอราส์ อองรี บูเตอเลอซ์’ หรือ ‘สติ๊ก’ แฟนหนุ่มชาวฝรั่งเศส วัย 27 ปี กลับมาเที่ยวที่บ้านในช่วงหน้าฝน สติ๊กเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ก็ชอบ และชวนเธอกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด เธอยอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกตกใจเหมือนกัน เพราะลึกๆ ก็เคยคิดไว้เหมือนกันว่าถ้ามีโอกาสก็อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน ส่วนสติ๊กเองก็ทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ด้านการลงทุนให้กับบริษัทในประเทศแคนาดา แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ ทำงานผ่านโลกออนไลน์แบบ Digital Nomad ทั้งที่ไม่จบปริญญาตรี แต่เน้นการศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองจนมีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับ
พวกเขากลับมาเริ่มต้นชีวิตที่ตำบลณรงค์ อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อ 3 ปีก่อน เริ่มแรกคือกลับมาทำนา สลับกับการปลูกผัก เพราะต้องการปรับเปลี่ยนดินโดยการปลูกพืชที่หลากหลาย ทั้งผักและดอกไม้ เพราะเมื่อก่อนปลูกแต่ข้าวมา 40-50 ปี และใส่ปุ๋ยคอก ไม่ใช้สารเคมี ปรากฎว่าพื้นที่ที่เคยปลูกข้าวอย่างเดียวมานาน พอเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นก็งอกงามดีมาก เพราะปุ๋ยจากต้นข้าวยังอยู่ และดินมีสารอาหารที่หลากหลายมากขึ้นเช่นเดียวกัน พอหมุนเวียนกลับมาปลูกข้าวก็ได้ผลผลิตที่ดีกว่าเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น เธอใช้พื้นที่ราว 11 ไร่ ทำ 'นาดำ' ไม่ทำนาหว่านเหมือนชาวบ้าน โดยการเริ่มจากใช้เงิน 8,000 บาท เจาะน้ำบาดาล ก่อนจะรวบรวมเงินจากการทำนามาขุดบ่อเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ทำนา จนชาวบ้านหาว่าเธอบ้า แทนที่จะเก็บที่ไว้ทำนาหว่าน กลับขุดบ่อน้ำเพื่อทำนาดำ
“ตอนที่กลับมาอยู่แรกๆ อ่ะ สามปีที่แล้ว เขาว่าหนูบ้า เพราะว่าหนูกลับมาทำนาดำ คนอื่นเขาหว่านกันเสร็จ โอ้โห ตั้งแต่ฝนเริ่มตก เขาก็หว่านเขาก็เสร็จเลย แต่เราไม่ค่ะ เราเพิ่งจะตกกล้า หว่านกล้า เพื่อที่จะเอาไปดำ เอาจริงๆ ค่ะ คนอื่นเขาทำนาหว่านพักกันได้เดือนครึ่งสองเดือนแล้ว แต่เรายังทำ ยังถอนกล้าอยู่เลย คือเราทำนาดำ แต่ผลปรากฏว่าเราได้ข้าวเยอะกว่าคนอื่นเขา ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลานานหน่อย...แต่เราไม่เห็นมีใครที่แบบว่าทำนาหว่าน แล้วได้ผลผลิตดีเหมือนนาดำ แล้วอีกอย่างนึงคือเรายังมีแรงดำอยู่ ก็เลยคิดว่าทำไมเราจะต้องมาเสียพื้นที่ทิ้งไปเปล่าๆ แล้วอีกอย่างหลังจากที่เขาหว่านข้าวกันเสร็จ ที่นี่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรกันนะ เขาก็ว่างงาน เราก็เลยคิดว่าทำไมต้องเอาเวลาว่างงานแบบนั้นมาเสียประโยชน์”
โดนชาวบ้านทักว่าบ้า! เพราะขุดบ่อน้ำทำนา
ส่วนเรื่องการจัดการน้ำ เธอมองว่าฟ้าฝนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือคาดคะเนได้ว่าปีนี้ฝนจะตกหรือปีนี้ฝนจะแล้ง เธอก็เลยขุดสระเพื่อเป็นที่กักเก็บน้ำ อย่างเช่นหน้าแล้งที่ผ่านมา ปีนี้ฝนแล้งมาก แต่ว่านาของเธอยังมีน้ำอยู่ เพราะว่าได้ใช้น้ำจากบ่อ สูบขึ้นมาเพื่อใส่ข้าว เธอบอกว่าเพื่อนบ้านประสบปัญหาภัยแล้งกันทุกคน แต่ไม่ใช่นาของเธอ
“มึงบ้าเหรอ ขุดเปลืองพื้นที่ เอาไว้ทำข้าวทำนาดีกว่า ว่าอย่างนั้น เอ้ย ฉันก็ยิ้มเฉยๆ เดี๋ยวฉันจะทำเงินล้านให้ดู” บี กล่าวด้วยรอยยิ้ม
บี เล่าต่อว่า บ้านของเธอเป็นหนึ่งในไม่กี่ครอบครัวที่ยังมีข้าวกินจนทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกข้าวไว้ขาย แต่บ้านของเธอปลูกข้าวไว้กิน เนื่องจากเธอทำธุรกิจเสริมเล็กๆ น้อยๆ เป็นธุรกิจในครอบครัวไปด้วย นั่นคือ น้ำปลาร้า กาแฟ อาหารเสริม และอาหารตามฤดูกาล เช่น ปลานิลนัว ปูนาดอง เป็นต้น ซึ่งก็จะรับซื้อวัตถุดิบมาจากเพื่อนบ้านในราคาสูง เพื่อนำมาแปรรูปขายทางออนไลน์ กระจายรายได้สู่ชุมชนไปในตัว แต่บียอมรับว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดคือ น้ำปลาร้า หรือจะเรียกว่าขายทั่วโลกก็ได้ ลูกค้าหลายคนที่กลับจากต่างประเทศมาเยี่ยมบ้าน พวกเขาก็จะมาซื้อน้ำปลาร้าหิ้วกลับไปด้วย บางคนซื้อน้ำหนักกระเป๋า เฉพาะขนแต่ปลาร้าไปเลยก็มี เพราะว่าน้ำปลาร้าของเธอมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เธอทดลองทำอยู่หลายเดือนจนหาสูตรที่ถูกใจได้สำเร็จ ต้มเองแบบบ้านๆ ซึ่งถือว่านี่ก็เป็นจุดที่เปลี่ยนให้ชีวิตชาวนามีอยู่มีกินอีกอย่างหนึ่ง
เมื่อถามถึงที่มาของการเป็น 'เน็ตไอดอล' และแม่ค้าน้ำปลาร้าทางออนไลน์ บีเล่าให้ฟังว่า เมื่อเธอเป็นคนชอบเล่นโซเชียลอยู่แล้ว โพสต์เฟซบุ๊กรายวัน แม้แต่เข้าห้องน้ำก็ยังโพสต์ มีอยู่วันหนึ่งนอนไม่หลับก็เลยโพสต์อัลบั้มรูปอวดแฟน แบบตลกๆ ทั้งภาพและแคปชั่น ตื่นเช้ามาก็มีคนแชร์ไปเป็นหมื่นๆ ครั้ง และมีคนมาติดตามเฟซบุ๊กส่วนตัวมากมาย เธอก็เลยใช้โอกาสนี้ในการเริ่มไลฟ์ ให้เห็นชีวิตประจำวันของเธอและสามีในการทำไร่ทำนา ประกอบกับสติ๊กเป็น 'ฝรั่งเด็ก' ที่หน้าตาดี แต่กลับมาทำไร่ไถนา ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในแสงสีเหมือนคนอื่นๆ ก็เลยเป็นที่สนใจของผู้ชม และกลายมาเป็นช่องทางในการทำธุรกิจน้ำปลาร้า และอื่นๆ แม้กระทั่งข้าวก็มีคนติดต่อมาซื้อผ่านทางเฟซบุ๊กเช่นกัน
เธอยังแอบเม้าสติ๊กให้ฟังด้วยว่า การสอนให้ฝรั่งมาทำนา "เป็นอะไรที่ยากมาก" ถึงขั้น 'เละตุ้มเป๊ะ' เช่น คนทั่วไปเขาเตะต้นกล้าไปข้างหลัง แต่สติ๊กยกขาเตะเหมือนกับฟุตบอล เวลาเตะกล้าขี้ดินมันต้องกระเด็นไปอยู่ข้างหลัง
"ใครที่อยู่ด้านข้าง ด้านหน้า เตรียมรับขี้โคลนจากคุณสติ๊กได้เลย เละตุ้มเป๊ะ แต่ว่าเขาบอกว่ามันสนุกดี เขาบอกว่าเขาชอบ เขาว่าอย่างนั้น" และสิ่งที่คนชอบดูอีกอย่างหนึ่งก็คือ สติ๊กจะชอบยั่วให้เธอหงุดหงิดและด่าผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ซึ่งคนดูรู้สึกตลก
ส่วนเธอเองเวลาทำนา บางทีกลัวเครื่องสำอางหมดอายุ ก็จะแต่งหน้าทาปากลงไปดำนาเลย "ทั้งตัวนี่เหมือนดาราฮอลลีวูดมาช่วยทำนา มองเห็นตั้งแต่ไกล ตั้งแต่เดินอยู่บนคันนา"คือเป็นคนรักความสนุก"
“ไลฟ์ครั้งแรก เปิดมาได้ 30 วินาที คนเข้ามาดูกันเป็นสิบคน เป็นร้อยคนก็ตกใจ แล้วปิดหนี แล้วก็ทำใจเปิดเข้ามาใหม่ ตอนแรกๆ ตัวบิดเป็นเกลียว แต่ทุกวันนี้ชวนคนมาดูได้” บีเล่าความรู้สึกในการเฟซบุ๊กไลฟ์ครั้งแรก
ตอนนี้ไลฟ์แต่ละครั้งมีคนดูไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ก็มีคนดูบางคนทักอินบอกซ์มาหาว่า “พี่บีอ้ายสติ๊กไปนาหรือยัง? ไลฟ์สดให้หนูดูหน่อย” หลายคนบอกว่าเวลาดูเฟซบุ๊กไลฟ์ของเธอ จากอารมณ์เสียๆ ก็อารมณ์ดี กลายเป็นที่ชื่นชอบ
จากเมืองใหญ่กลับสู่ชนบท ปลดหนี้สามล้านภายในไม่กี่เดือน
เธอเล่าให้ฟังต่อถึงความแตกต่างของชีวิตชาวนาที่แม้ไม่มีเงินสักบาทก็ไม่เป็นหนี้ และมีกิน เพราะอยู่ที่บ้าน วันๆ หนึ่ง เธอไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว ข้าว ผัก ก็ปลูกกินเอง เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ตรงข้ามกับชีวิตที่ภูเก็ต แม้จะมีเงินเดือนเกือบสี่แสน แต่ก็ยังต้องเป็นหนี้และไม่สามารถปลดหนี้ได้ เธอเชื่อว่าหลายคนคงจะมีโมเมนต์แบบนี้ แต่พอเธอกลับมาอยู่ที่บ้านก็สามารถปลดหนี้สามล้านกว่าบาทได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน เธอมองว่ามันอยู่ที่ว่าเราตั้งใจจริงหรือเปล่า และอยู่ที่ว่าสิ่งที่เรามอบให้กับผู้คนมันจริงใจแค่ไหน
“ความฝันที่กลับมาจริงๆ คืออยากเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัว แบบทำอะไรก็ได้ที่คนแถวนี้เขามีโอกาส แต่เขายังไม่กล้าทำกัน คือเราอยากจะมาทำให้ทุกคนเห็นว่า เนี่ยมันเป็นไปได้ คือ หลายๆ คนจะรอโอกาส และมีคำอ้างว่า เราไม่ได้มีแบบเขา...จริงๆ แล้วการทำเกษตรเป็นอะไรที่คุณแทบจะไม่ต้องลงทุนเยอะแยะมากมายเลย แต่มันอยู่ที่ว่าคุณจะทำยังไงให้เราได้เสียค่าใช้จ่ายได้น้อยที่สุด”
เธอยกตัวอย่างว่า คุณบอกว่าคุณไม่มีบ่อน้ำ เธอเองก็ไม่มี เธอเริ่มต้นจากเงิน 8,000 บาทเจาะบ่อน้ำก่อนเลย เจาะบ่อน้ำเอาไปปลูกผัก ได้น้ำตรงนั้นมารดผัก เราก็จะได้ผักขาย แล้วพอได้เงินมาก็รวบรวมจนได้มาเป็นสระน้ำ เธอเชื่อว่าชาวนาหลายๆ คนยังพอมีรายได้ไม่ถึงกับอัตคัดไปเลย "แค่อยู่ที่ว่าเขาจะกล้าลงมือทำไหม แค่นั้นเอง"
“คุณอยากได้เงินคุณต้องทำงาน เพราะว่าเงินไม่ได้หล่นมาจากท้องฟ้า เพราะเราก็ทำงานค่ะเราถึงได้มีวันนี้ ถ้าเราไม่ทำงาน หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ณ วันนี้มันคงไม่เกิดขึ้น”
เธอยอมรับว่ากลับมาตอนแรกถูกชาวบ้านนินทาว่า ไอ้ฝรั่งขี้นกบ้าง อีเมียฝรั่งตกอับบ้าง แม้จะพยายามไม่คิดอะไร แต่ข้างในจิตใจมีความรู้สึก 'ปรี๊ด' อยู่บ้าง แต่พอหลังๆ มาก็คิดได้ว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ แล้วแต่เขาจะพูด แล้วแต่เขาจะคิด เขาไม่ใช่ตัวเรา คนที่รู้ดีที่สุดคือตัวเราว่าเราช่วยกันสร้างมาด้วยกัน ฉะนั้นเราไม่ต้องเอาคำพูดของคนอื่นมาเก็บใส่สมอง บั่นทอนความสุขในชีวิต เลิกคิด พอเลิกคิด ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาก็หยุดพูดไปเอง"
ตอนนี้เธอและสติ๊กเก็บเงินสร้างบ้านน่ารักๆ กลางทุ่งนา พร้อมกับเลี้ยงหมาอีกกว่า 20 ตัว มีเป็ด ไก่ แปลงผัก และร้านกาแฟเล็กๆ ที่ดัดแปลงมาจากยุ้งเก็บข้าว
สำหรับเธอตอนนี้ถือว่าหาตัวตนเจอแล้วคือการเป็นเกษตรกรที่แตกต่าง มีความสุขและประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ทำแล้ว แต่สำหรับครอบครัวเธอยังอยากเห็นทุกคนประสบความสำเร็จในเส้นทางของแต่ละคนและยืนได้ด้วยตัวเอง
“คือมันไม่เกี่ยวว่าคุณจะต้องมีใบปริญญาในการที่คุณจะต้องมีชีวิตที่ดี คุณไม่จำเป็นที่จะต้องแบบว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช้เงินแบบสูงๆ เยอะๆ คุณไม่จำเป็น อย่างชีวิตหนูก็เริ่มต้นจากชีวิตที่ติดลบ จนมาเป็นชีวิตที่บวก เพราะว่าความคิดของเราด้วยค่ะ นี่คือสิ่งสำคัญเลย ถ้าคุณคิดที่จะเปลี่ยน กล้าที่จะเปลี่ยนจริงๆ มันเปลี่ยนได้ หนูก็เริ่มต้นจากการที่คิดใหม่ หนูเคยเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณคิดว่าจะกลับไปเหรอ มันจะยังไง ชีวิตเราจะอยู่ยังไง เราไม่มีเงิน เราไม่มี คือ เราคิดถึงแต่ตรงนั้น แต่พอวันนึงหนูลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตหนูเอง โดยการที่คิดที่จะเปลี่ยนจริงๆ อ่ะ ฉันต้องทำได้สิ ไม่มีเงินตอนนี้เหรอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็มีเงิน หนูจะคิดแบบนี้ หนูเป็นคนที่คิดบวกอยู่แล้ว เลยทำให้ชีวิตตัวเอง เปลี่ยนชีวิตกับความคิดที่เปลี่ยนไปด้วย เลยทำให้หนูมีวันนี้ค่ะ” บี กล่าวทิ้งท้ายด้วยความภูมิใจ