นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า อยากให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อ่านหรือหาคนช่วยแปลบทความของไฟแนนเชียลไทม์ที่วิเคราะห์ว่าประเทศไทยยังคงเป็นคนป่วยของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และจะยิ่งป่วยหนักมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตลอด 5 ปี จะยังคงยิ่งย่ำแย่ต่อไป แถมการเมืองหลังการเลือกตั้งก็จะยิ่งอ่อนแอ
ทั้งนี้มองว่า รัฐบาลใหม่ไม่น่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยเฉพาะที่จะต้องสานต่อแนวคิดเดิมที่แจกเงินหนักกว่าประชานิยม ซึ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่บอกว่าค่าเงินบาทแข็งแสดงว่าเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง โดยค่าบาทแข็งน่าจะยิ่งทำให้ไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น และจะกระทบต่อการส่งออกที่กำลังย่ำแย่อยู่ เพราะการส่งออกติดลบติดต่อกันมา 7 เดือนแล้ว โดยล่าสุดการส่งออกเดือนพฤษภาคมติดลบถึง - 5.8% ซึ่งทำให้แบงก์ชาติถึงกับต้องลดการประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้เหลือเพียง 3.3% เท่านั้น ซึ่งต่ำว่าที่รัฐบาลโม้ไว้มาก และยังมีแนวโน้มที่อาจจะโตต่ำกว่านั้นอีก
นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสมที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยจะมีรัฐบาลผสมที่เสียงปริ่มน้ำที่ทำท่าจะไปต่อยาก รัฐบาลใหม่จะอ่อนแอและแย่กว่ารัฐบาลเดิม ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงตามที่ไฟแนนเชียลไทม์วิเคราะห์วิจารณ์ หากยังจะมีรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจคนเดิมที่ได้แต่ท่องว่าเศรษฐกิจดี ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงที่ย่ำแย่มาตลอด หลังการเลือกตั้งแล้ว ยังไม่เลิกนิสัยเดิม หรือ คิดว่ายังเป็นเผด็จการจะพูดอย่างไรก็ได้ โดยในรัฐบาลใหม่นี้ยิ่งจะคุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ เพราะขนาดเคยคุมได้หมดทุกกระทรวงเศรษฐกิจยังบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว
นอกจากนี้ ยังจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ไม่มีประวัติที่จะพิสูจน์ว่ามีความรู้ความสามารถทางการเงินการคลังในอดีต แถมสังคมยังสงสัยความเกี่ยวข้องกับคดีความในอดีตที่เคยเป็นกรรมการบริหารของธนาคารรัฐ โดย กรรมการบริหาร 3 คนติดคุก แต่ตัวเองกลับรอด และยังไม่กล้าที่จะออกมาชี้แจงอธิบายเพื่อสร้างความโปร่งใสให้ตัวเอง จะได้แก้ข้อสงสัยของประชาชน แถมยังจะมีข้อมูลความผิดปกติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลของคดี และคำให้การของจำเลยคนอื่นๆ
ทั้งนี้ ในภาวะหลังการเลือกตั้งแล้ว ทุกอย่างควรโปร่งใสถูกต้อง และ ตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง และความโปร่งใสของรัฐมนตรีทุกกระทรวงที่จะต้องถูกตรวจสอบได้อย่างละเอียด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :