วันที่ 15 ก.พ. 2566 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงบ่อน้ำเน่าของการท่องเที่ยวไทย เป็นผลจากการบริหารที่ขาดความพร้อม ไร้ความรอบคอบของรัฐบาล โดยบ่อเน่าที่ 1 คือการต้อนรับนักท่องเที่ยว ยังปรากฏภาพว่าการดำเนินการที่ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ทำให้มีความแออัด และไม่รองรับมาตรการสาธารณสุข
บ่อเน่าที่ 2 คือแรงงานภาคการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงพอ ทั้งที่เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันภาพเศรษฐกิจแต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉย สืบเนื่องจากการเลิกจ้างในช่วงวิกฤติโควิด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การว่าจ้างแรงงานหายไปไม่น้อยกว่า 560,000 คน เท่ากับรัฐบาลทำประชาชนตกหล่นไปถึง 40,000 คน
บ่อเน่าที่ 3 จักรพล กล่าวถึงมาตรการ ค่าเหยียบแผ่นดิน 300 บาท ที่ขาดความชัดเจนว่านำเงินดังกล่าวไปใช้ส่งเสริมส่วนใด ไปจนถึงบ่อเน่าที่ 4 คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่พร้อมแก้ไข เช่น ขยะบนชายหาด ที่ยังไม่มีการหาทางแก้ไขอย่างเอาจริงเอาจัง การเปลี่ยนแปลงของชายหาดแปลงเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท และทำให้ศูนย์มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่าหมื่นล้าน
เช่นเดียวกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM 2.5 สร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยเดือนละมากกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลยังเพิกเฉยต่อปัญหา ด้วยการดอง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ สะท้อนว่าฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายรัฐบาลไม่เดินไปพร้อมกัน เดินไปอย่างสะเปะสะปะ ไม่เข้าจังหวะ
ส่วนบ่อเน่าที่ 5 คือ ไร้การต่อขยายของเศรษฐกิจ เมื่อการท่องเที่ยวหายไป รายได้กว่า 20% ของ GDP ประเทศก็หายไปเช่นกัน เมื่อรัฐบาลพึ่งพาการท่องเที่ยวชาติหนึ่งมากเกินไป ส่งผลให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวแบบกระจุกตัว และนำมาสู่มาตรการแบบเน้นปริมาณ แต่ไม่เน้นคุณภาพ
บ่อเน่าที่ 6 คือ หาจุดยืนบนเวทีโลกไม่เจอ จะเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศต่างๆ ก็ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวยังเหลือเป็นศูนย์ ดังที่ปรากฏในกรณีตำรวจไทยรีดไถส่วยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
จักรพล ชี้ว่าเป็นเพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำตัวเป็นเสือนอนกิน ไม่รู้จักปัญหา ไม่ดิ้นรนหาทางพัฒนาภาคการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน อาศัยกินบุญเก่า ภาพลักษณ์ด้านวัฒนธรรมยังคงเดิม เน้นความสวยงาม แต่ไม่มีความก้าวหน้าในด้านการลงทุนระหว่างประเทศ
จักรพล ระบุว่า ปัญหาเหล่านี้ พรรคเพื่อไทยมีความพร้อมในการแก้ไขทั้งหมด ด้วยมาตรการที่สามารถรองรับทั้งด้านการลงทุน และสาธารณสุข ส่วนปัญหาจุดยืนบนเวทีโลกนั้น แก้ได้ง่ายมากคือการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตนายกฯ ที่มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ด้าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ได้อภิปรายทั่วไปและอภิปรายไม่ไว้วางใจรวม 7 ครั้ง พอมาถึงวันนี้เป็นครั้งที่ 8 ก็รู้สึกเอือมระอากับความดื้อดึงของรัฐบาลที่ไม่ฟังเสียงสะท้อนของประชาชน รู้สึกเบื่อหน่ายกับการบริหารงานที่ผิดพลาดล้มเหลวจนประชาชนเดือดร้อนกันทั่วไปหมด ตนรู้สึกสงสารที่ประชาชนต้องมาทนทุกข์กับรัฐบาลที่ไม่มีความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ ดังที่สื่อทำเนียบฯ ให้ฉายา 'หน้ากากคนดี' ที่แม้จะบอกว่าเป็นคนดีมาแก้ไขปัญหา สุดท้ายกลับล้มเหลวทุกมิติ
แม้ประเทศไทยมีต้นทุนสูงกว่าประเทศอื่น ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ ศักยภาพประชาชน ไปจนถึงระบบสาธารณสุข แต่เหตุใดเศรษฐกิจประเทศไทยไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เลย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยต่ำที่สุดในอาเซียนในรอบ 7-8 ปีที่ผ่านมา ต่างประเทศก็ไม่สนใจการค้าการลงทุนในประเทศไทย สินค้าเกษตรไม่สามารถส่งออกไปสู้ในตลาดโลกได้ ทำไมคนไทยถึงยังเดือดร้อน
“ทำไมคนไทยเลือกความสงบจบที่ลุงตู่ แล้วเศรษฐกิจไทยถึงสงบเงียบเป็นป่าช้าขนาดนี้ ทำไมเสือตัวที่ห้าอย่างเรา วันนี้เป็นคนป่วยของภูมิภาค เป็นประเทศที่ไม่มีใครมองเห็น ทำไมคนรุ่นใหม่จำนวนมากตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปหาอนาคตใหม่นอกประเทศไทย ถามคนหนึ่งก็อาจจะหงุดหงิด ถามอีกคนหนึ่งก็อาจจะไม่รู้ พอมาทบทวนก็พบว่าปัญหาเกิดจากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความพังพินาศทางเศรษฐกิจตลอด 8 ปี เราควรไปต่อ หรือพอแค่นี้”
จุลพันธ์ ยังกล่าวว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลที่ไม่รู้จักหารายได้ โดยก่อหนี้ตลอด 8 ปี สูงกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาทั้งหมดรวมกัน ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 10 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะสูงกว่า 60% ของ GDP จึงทำให้คนไทยกำลังเข้าสู่วัยเกษียณพร้อมกับหนี้ก้อนโต
“วันนี้ประชาชนไม่เชื่อในกระบวนการตรวจสอบขององค์กรอิสระ วันนี้เขาหวังพึ่งบริการคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาแฉกระบวนการทุจริตคอรัปชั่นและความเน่าเฟะของประเทศไทยภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์”
จุลพันธ์ เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรพิจารณาตัวเอง และยุติบทบาททางการเมือง เพราะได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศไทย และควรเรียนรู้จากพรรคการเมืองซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศจนประสบความสำเร็จ นโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้นำเสนอต่อสังคมไปแล้ว ทุกนโยบายทำได้จริง แล้วจะแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ อย่างหลักคิดของพรรคเพื่อไทยที่ว่า สร้างรายได้ใหม่ สร้างชีวิตใหม่ และสร้างโอกาสใหม่
“ประชาชนเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่มืดมิด ประชาชนจะเข้าคูหาแล้วฉีกหน้ากากคนดีของท่านออก ระบอบประชาธิปไตยจะให้อำนาจประชาชน แล้วประชาชนจะล้างแค้นท่าน เวลาของท่านกำลังจะหมดลง ท่านนับถอยหลังได้เลย” จุลพันธ์ กล่าว