'เอ็ด เบสเตียน' ซีอีโอเดลตาแอร์ไลน์ สายการบินสัญชาติอเมริกัน พูดถึงวิกฤตที่อุตสาหกรรมการบินต้องเผชิญ ด้วยชี้ว่า "แม้เดลตาจะสูญเงินมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,977 ล้านบาท) ต่อวัน แต่เรารู้ว่าเรายังไม่เห็นจุดต่ำสุด"
ทั้งนี้ เอ็ด ยังคาดการณ์ว่าตารางการบินในเดือน เม.ย.นี้จะลดลงมากกว่าร้อยละ 80 จาดแผนที่วางไว้ ซึ่งคิดเป็นการยกเลิก 115,000 เที่ยวบิน เช่นเดียวกับรายได้ของบริษัทในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่จะตกลงราวร้อยละ 90
เมื่อเทียบตัวเลขผู้โดยสารเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เทียบกับตัวเลขการเดินทางในช่วงปลายดือน มี.ค.ทั่วไป ตัวเลขของเดลตาตกลงมาอยู่ที่ 38,000 ราย จากจำนวนปกติราว 600,000 ราย
ในทำนองเดียวกัน สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่าสายการบินประจำชาติอังกฤษอย่างบริติชแอร์เวย์ก็สั่งพักงานพนักงานราว 30,000 ราย เพื่อลดผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงจนแทบจะเป็นศูนย์เช่นเดียวกัน
ขณะที่ฝั่งเอเชีย คาเธย์ แปซิฟิค สายการบินของฮ่องกง ออกมาปรับลดเที่ยวบินลงอีกครั้งหลังมีผู้โดยสารเดินทางกับสายการบินเพียง 582 คน/วัน จากปกติที่อยู่ราว 100,000 คน/วัน
'ออกัสตัส ถัง' ซีอีโอของคาเธย์ แปซิฟิค กล่าวว่า อุปสงค์การเดินทางจากผู้โดยสารจะลดลงไปอีก แม้ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ สายการบินจะลดเที่ยวบินไปแล้วกว่าร้อยละ 96 ก็ตาม และตัวเลขผู้โดยสารที่เหลือเพียง 500 - 600 รายเป็นการลดลงกว่าร้อยละ 99 ของจำนวนผู้โดยสารทั่วไปของสายการบิน
หลังจากนี้สายการบินจะให้บริการเพียง 2 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ในเดือน เม.ย.ใน 4 จุดหมาย ได้แก่ ลอนดอน ลอสแอนเจลิส แวนคูเวอร์ และซิดนีย์ เท่านั้น ขณะที่จะยังคงรักษาเที่ยวบิน 3 ครั้ง/สัปดาห์ ในจุดหมาย 8 เมืองในภูมิภาค อาทิ โตเกียว มะนิลา และสิงคโปร์
บทความชิ้นล่าสุดจากนิตยสารฟอร์บสชี้ว่า อุตสาหกรรมการบินโลกมีสัดส่วนทั้งหมดประมาณร้อยละ 3.6 ของจีดีพีโลก หรือคิดเป็นมูลค่า 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 89 ล้านล้านบาท และหากคิดเป็นลำดับมูลค่าจีดีพีตามประเทศ อุตสาหกรรมการบินจะอยู่ในลำดัลที่ 20
เมื่อ 26 มี.ค.ที่ผ่านมาสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (ไอเอทีเอ) ออกประกาศเรียกร้องมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลยุโรป เนื่องจากจากการคำนวณพบว่าสายการบินในยุโรปจะเสียรายได้ราว 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท และอุปสงค์จากผู้โดยสารอาจตกลงถึงร้อยละ 46 เมื่อเทีบกับตัวเลขในปี 2562 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับตำแหน่งงานกว่า 5.6 ล้านตำแหน่ง และกระทบสัดส่วนจีดีพีที่มีมูลค่าราว 378,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 12.4 ล้านล้านบาท เฉพาะแค่ในยุโรปเท่านั้น